มันมีมนุษย์ที่ดูเหมือนจะไม่เนรคุณอยู่จริงหรือ
อาการแบบไหนที่เรียกได้ว่าเนรคุณ หรือ กตัญญู
การช่วยมันเป็นเรื่องของใคร
การทวงบุญคุณมันอยู่ในสิ่งที่จำเป็นต้องทำหรือไม่
แล้วอะไรที่เรียกว่าเหมาะสมกับที่จะอยู่ร่วมโลกกับคนหมู่มากเหล่านั้น
โลกจัดสรรให้เรามาเจอทุกอย่างเพื่อให้เรารู้ว่าในใจเรายังคงติดค้างตรงไหนมีอะไรยังไงในทุกซอกมุม ในทุกๆ คนที่เจอ ในทุกกรณีทที่พบ คือ การเติบโตและเรียนรู้ในตัวเอง คนที่จะมีโอกาสในการเติบโต ตื่นรู้ได้ คือ คนที่มองเห็นภายในของตนเอง เข้าใจภายใน รู้จักความจริงแท้ในกายในใจตนเองแบบไม่เสแสร้ง เพราะคนส่วนมากแม้แต่กับตัวเองก็ยังตอแหลเลย ไม่สามารถรับได้ในสิ่งที่ตัวเองเป็น มันต้องหัดเลิกโกหกตัวเองก่อน ถึงจะค่อยๆ พัฒนาได้
ตัวอย่างเช่น บางคนเกิดมาเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างรุนแรง ตั้งแต่แรกกำเนิดแต่กลับถูกปล่อยผ่านมาเรื่อยๆ ตามวิถีของกรรม เพื่อทำให้มันเกิดอาการกรรมที่เกิดจากการเอารัดเอาเปรียบตัวเองเรื่อยมา โทษแต่ว่าคนนั้นต้องให้ คนนี้ต้องจัดการ ลืมไปว่าตัวเองเอาแต่รับ สร้างวิธีการต่างๆ อย่างแยบยลเพื่อให้คนต่างๆ อยู่รอบตัว ชอบตัวเอง นินทาใส่ความ ยุแยงตีกัน เพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์จากคนเหล่านั้น ไม่รู้เท่าทันสันดานตัวเอง ว่าเห็นแก่ตัวแค่ไหน ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองล้วนๆ ที่ทำอะไรลงไปล้วนสร้างมวลกรรมใหม่เพิ่มอย่างไม่มีสิ้นสุด ตราบเท่าที่ยังเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ตราบนั้นก็ไม่มีวันสิ้นมวลกรรมเป็นแน่แท้
คนที่รู้เท่าทันคนแบบนี้ก็แค่ปล่อยผ่าน ดูอาการทางใจของตนเอง บางครั้งมันค้างอยู่ในใจในหัวเรา ก็ดูไปเรื่อยๆ อย่าไปทำอะไร ไม่ต้องแทรกแซง เมื่อตัวกรรมยังอยู่มันจะมีแรงสะเทือนอยู่เสมอ ถ้าเราแทรกแซงมันจะยิ่งแทงเราให้เห็นว่า เฮ้ย..มันไม่ใช่วิธีการจัดการที่ดีนะ หากยังมีกรรมต้องร่วมงาน ร่วมโลก ร่วมสังคมกันอยู่ ก็ดูใจตัวเองไปไม่ต้องไปแสดงอะไรให้เสียเวลาในทางกาย จัดการความรู้สึกทางใจก็พอได้ที่จะพ้นกรรมจากสิ่งเหล่านี้ แต่ก็อีกนั่นแหละคนพวกนี้มันมักกวนตากวนใจเราได้เสมอ เพราะอะไร เพราะมันมีแรงกรรมเป็นการดึงดูดกันอยู่ มันจึงไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ปกติ มันมีอะไรให้หงุดหงิดรำคาญใจได้เสมอ ถึงมันตายไปแต่ใจเราไม่จบ มันก็ตามวนเวียนในความรู้สึกของเราได้
อาการหลอกหลอนเหล่านี้มีกรรมเก่ารวมกับกรรมใหม่ ประกอบกับแนวคิดที่เราสั่งสมมาในปัจจุบัน สิ่งแวดล้อมรอบๆ มีฐานกรรมเดิมของตัวเราเองเป็นผู้กำหนดล้วนๆ เราจะเป็นคนคิดเห็นอย่างไร กรรมเท่านั้นที่จะพาเราไป
แต่หากเรากล้าที่จะสวนทางกรรม คือ เข้าไปขัดเกลาความขุ่นมัวเศร้าหมองทั้งหลาย เส้นทางใหม่ก็จะเปิดขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่ว่าไม่มีทางนี้อยู่ก่อน มันมีแต่เวรกรรมมันจะลากเราออกไป ชีวิตเรามีทางเลือกเสมอ ทางใดมันร้อนแรงกว่า มันย่อมลากไปได้แรงกว่า แต่มันก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่า ชีวิตเราจะต้องแย่ ชีวิตมันแย่เพราะเราทำทั้งนั้น
ไปที่ประโยคแรกมนุษย์ที่ดูเหมือนว่าจะไม่เนรคุณมีอยู่จริงหรือ
ถ้าเราเข้าใจวงจรกรรมจริงๆ เราจะเห็นตามจริงบางอย่างว่ามันไม่มีทั้งคนกตัญญูและคนเนรคุณ โลกดำรงอยู่ด้วยความเมตตา มีความเอื้ออาทรต่อกัน แต่คำว่าเนรคุณกับกตัญญูมันเกิดขึ้นเพราะความคาดหวังว่าสิ่งที่เราทำออกไปจะได้รับอะไรสักอย่างกลับคืนมา โดยลืมไปว่าสถานการณ์กรรมของแต่ละชีวิตมันเล่นตลกกับความต้องการของเราเสมอ ถ้าเราไปเผลอยึดจนเกินพอดี มันจะกลายเป็นปิศาจร้ายมาทำลายเรา ด้วยคำอันคับแคบเหล่านั้น
ซึ่งที่จริงแล้วเราเพียงใช้ชีวิตอยู่บนความเมตตาและเอื้ออาทรต่อกัน ในทุกๆ วัน เราจะเห็นความลงตัวของชีวิตที่เราไม่ต้องไปเรียกร้องเอาจากที่ไหน สิ่งดีๆ จะแสดงให้เราเห็นตรงหน้าเสมอ แต่ปัญหาคือ คนมักไม่เคยสนใจที่จะมองสะด้วยซ้ำ ที่ได้ก็ไม่เคยดี ที่มีก็ไม่เคยจะพอ เคยมั้ยสักครั้งที่รู้สึกอิ่มเอมกับสิ่งที่โลกให้เราโดยแท้จริง เคยมั้ยที่จะรู้สึกดีจริงๆ กับชีวิตและสิ่งที่มี เคยรู้สึกบ้างมั้ยว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเหมาะสมกับเราแล้ว ทั้งสาสมและสมควรที่เราจะได้รับ เรามักจะกล่าวอ้างว่าโลกนี้ไม่ยุติธรรม เพราะเรายกตัวเองดีเหนือสิ่งต่างๆ เสมอ ทั้งที่จริงๆ แล้ว เวทีโลกยุติธรรมมากกว่าสิ่งใด มีแต่ใจเราเสียอีกที่ไม่เคยพอ ที่ดิ้นรนร้อนเร่านั้นเพราะเราสร้างมาเองมิใช่หรือ จะเรียกร้องเอาจากอะไรในเมื่อทุกอย่างประมวลเอาตามการกระทำทั้งปัจจุบันและที่ผ่านมา
หากเราชอบที่จะช่วยเหลือ..ก็ทำไป ไม่ใช่ว่าทำอะไรเพื่ออะไร แล้วก็ไปเรียกร้องการยอมรับ พระอาทิตย์สาดแสงไปหมดไม่ได้เลือกว่าคนนั้นเป็นอย่างไร ถ้าหากจะทำอะไรแล้วคาดหวังคนที่จะพัง คือ ตัวเราเอง เพราะบททดสอบของทุกคน คือ เราต้องดำรงอยู่บนพื้นฐานการแบ่งการปันให้มันพอดี ถ้ามันสมดุลความวุ่นวายมันสลายออกไปเอง ถ้ายังก็ปรับตัวไป อย่าเสียเวลาไปทวงบ้าทวงบอกจากใครเค้า เพราะนั่นมันคือ ตัวถ่วงเราให้เจริญช้าลงไปเรื่อยๆ พวกนั้นมันเป็นกับดักแห่งกรรม
ถ้าเรามีปัญญามากพอเราจะรู้ได้ว่า สถานการณ์ไหนเราจะจัดการยังไง วางจิตยังไงให้พอดี วิถีปกติเรามักส่งออกนอกจนเคยชินมุ่งประเด็นไปที่สิ่งแวดล้อมก่อนเสมอ ถ้าเราลองหัดปรับใหม่ มามองในกายในใจก่อน แล้วค่อยย้อนไปจัดการกับเรื่องราวต่างๆ ทีหลัง มันอาจจะดีก็ได้ ต้องลองทำถึงจะรู้
เรามักถูกหลอกให้อยู่ในวังวนของโลกเสมอ โลกจะส่งสิ่งต่างๆ มาถึงเรา เพราะเดี๋ยวจะเหงาถ้าเราพ้นไปจากโลกกันหมด เหยื่อแห่งความทุกข์ระทมจึงมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ทรมานใจตัวเองบ้าง ทรมานกายบ้าง อ้างความคิดเห็นโง่ๆ แล้วพอกระเสือกกระสนมีคนช่วยให้ออกไปได้ ก็ผลักไสแล้วตัวเองเข้าไปอยู่ในรูหนอนซ่อนจากความจริงที่ใครๆ ก็รู้ แล้วกลบด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยอีโก้ ซึ่งอีโก้กับโง่จะมาคู่กันเสมอ อีกภาษาก็เรียกอัตตาก็ได้ พวกนี้ยิ่งสูงยิ่งโง่ ถ้าเราจะดีขึ้นเราต้องขัดเกลาเอาตัวนี้ออกเรื่อยๆ ถ้าตัวนี้เยอะปัญญาจะไม่เกิด มันเกิดไม่ได้เลย เพราะปัญญาไม่ได้เกิดจากสมองหรือกระบวนการคิด มันเกิดจากหัวใจ หัวใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาหัวใจที่เปี่ยมด้วยความเอื้ออาทร ถ้าเรายังเห็นแก่ตัวมากอยู่สิ่งนี้ก็จะริบหรี่มากถึงมากที่สุด
เราสามารถใช้ชีวิตอยู่บนได้ทุกคน แต่ศักยภาพที่จะออกจากความทุกข์ทนเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนและขัดเกลา หลายๆ คนยังใช้ชีวิตงี่เง่า ลมหายใจที่มีช่างไร้ค่า เพราะเค้าไม่รู้จักคุณค่าในลมหายใจที่เค้ามี ยังเที่ยวโทษชีวิตโทษพ่อโทษแม่โทษพี่น้องโทษสิ่งแวดล้อมโทษทุกอย่าง จนลืมมองไปว่าความคิดทุกอย่างเราเป็นคนคิดเราเป็นคนทำ และเราก็เป็นคนที่เริ่มทุกอย่างถ้าเราเป็นจิตวิญญาณที่ใสบริสุทธิ์ ต่อให้ใครเองกองระทมทุกข์ใดๆ มาใส่เรา มันก็เปื้อนเราไม่ได้หรอก
มีคนผ่านบททดสอบมากมาย อย่าให้ใครมาบอกว่าเราทำไม่ได้ ทุกคนถ้ามีลมหายใจก็มีโอกาสพ้นได้ทุกคน แค่เราเริ่มรึยัง หรือแค่ฟังแล้วเพ้อเจ้อ
Leave a Reply