… แ ม ร์ รี่ ก็ โ ถ ม ตั ว พุ่ ง เ ข้ า มุ้ ง อ ย่ า ง แ ร ง จ น ส า ย มุ้ ง ข า ด !!
… สองคนนอนกอดกันกลมอยู่ภายใต้สาลีผ้าผวยที่พันกันอีรุงตุงนัง จนไม่รู้ว่าผืนไหนเป็นผืนไหน..
……จนกระทั่งลุงจำรัสแกก็เสนอความคิดให้แก่คุณหมอที่จะทำเป็นโฮมสเตย์ คุณหมอท่านก็ไม่ได้ขัดอะไร
ลุงจำรัสแกมีประสบการณ์จากการที่เคยทำรีสอร์ทอยู่ที่เมืองปาย แกเลยเข้ามาปรับปรุงจนบ้านนั้นน่าอยู่น่าเข้าพัก แต่เรื่องมันไม่ได้สมูทลื่นไหลดั่งอย่างที่ลุงจำรัสคิดไว้ พอมีคนเข้ามาพักได้ไม่ถึงข้ามคืน
ก็ต้องรีบขนของย้ายออกกลางดึกทุกรายไป
มีอยู่ครอบครัวหนึ่งเดินทางมาจากปทุมธานี เข้ามาพักสามคนพ่อแม่ลูก ลูกสาวอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปด พอตกกลางคืนทั้งหมดก็เข้านอน นอนเล่นดูทีวีกันไปได้สักพัก ก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เหมือนมีคนเอาไม้ท่อนใหญ่ๆ กระทุ้งพื้นเรือนจากทางใต้ถุนขึ้นมาตรงที่ลูกสาวครอบครัวนั้นนอนอยู่ กระทุ้งจนรับรู้ได้
ถึงแรงสั่นสะเทือนไปทั้งบ้าน ตัวพ่อก็คว้าไฟฉายวิ่งออกไปทางหน้าบ้าน ส่องไฟฉายชะโงกดูที่ใต้ถุนเรือนกวาดสายตามองไปจนทั่ว ก็ไม่เห็นว่ามีใครทำอะไรอยู่ แต่เสียงและแรงกระแทกกระทุ้งนั้นก็ยังดำเนินต่อเนื่องเป็นจังหวะสม่ำเสมออยู่ตลอดเวลา….ตึง ตึง ตึง ตึง !!…ดังอยู่อย่างนี้ จนทั้งหมดต้องรีบขนของย้ายหนีออกไปทันที….
….เมื่อลุงจำรัสเล่าจบ ผมก็ถามต่อไปอีกว่า… ” พอรายนี้หนีไป ลุงก็เลยปิดกิจการเลยใช่มั้ยครับ ? “…ลุงจำรัสแกกลับหัวเราะแล้วแกก็ตอบกลับมาว่า… ” ยังๆ ยังมีอีกหลายราย นี่มีอยู่รายหนึ่งข้าจะเล่าให้ฟัง เรื่องมันเป็นอย่างงี้ “..แล้วลุงจำรัสก็เล่าต่อไป ใจความว่า …
….มีฝรั่งแบ็คแพ็คอเมริกันสองคนผัวเมีย ที่คุ้นเคยกับลุงจำรัสสมัยแกทำรีสอร์ทที่เมืองปาย บินกลับมาเที่ยวเมืองไทยก็มุ่งตรงตามหาลุงจำรัส สุดท้ายก็ได้เจอกันแล้วก็ตามมาพักที่แม่ออนโฮมสเตย์ ที่แกดูแลอยู่..ฝรั่งสองคนผัวเมียคู่นี้ ได้พักอยู่ที่นี่เป็นเวลาได้ราวสองสัปดาห์ วันๆ ก็เที่ยวขึ้นเขาลงดอย ตระเวนถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้ตกค่ำก็กลับมานอน บางวันหากเดินทางไปไหนไกลๆ ก็ไม่กลับ รอนแรมไปเรื่อยเปื่อยตามประสาฝรั่งสะพายเป้ .. จนลุงจำรัสแกมั่นใจว่า ผีเด็กพม่าที่ว่าเฮี้ยนๆ มันคงกลัวกลิ่นตัวฝรั่ง มุดหัวไม่กล้าออกมาหลอกหลอน เย็นวันไหนที่สองผัวเมียนั้นกลับมาพัก ลุงจำรัส แกก็จะหิ้วกับข้าวกับปลาไปวางไว้ให้ ส่วนเรื่องที่ฝรั่งมันจะกินได้ไม่ได้ แกก็ไม่ได้สนใจ แกบอกว่าแกไม่ใช่ร้านอาหารจะได้มาสั่งจะกินโน้นกินนี่ มาสัมผ้สวิถีล้านนาก็ต้องกินอาหารแบบล้านนา
ผมก็เลยถามแกว่า ” แล้วฝรั่งมันกินเป็นเหรอ ? ” แกก็ตอบกลับมาว่า ” ไม่รู้แม่ง “…จบข่าวเลย ไม่ต้องสืบ..
…อยู่มาวันหนึ่ง ลุงจำรัสแกรู้ว่าสองคนผัวเมียจะกลับมานอนพักที่บ้านแม่ออนโฮมสเตย์ แกก็หิ้วข้าวปลาอาหารไปให้ตามปกติพอแกขับรถไปถึง ก็เห็นฝรั่งคู่นี้มันกำลังสาละวนกับการอ่านแผนที่ แบบนั่งเอาหัวชนกัน ลุงจำรัสแกก็ตะโกนเรียก ไอ้จอห์นฝรั่งตัวผัวหันมาหาลุงจำรัสแล้วยิ้มด้วยความดีใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินตรงเข้ามาหาลุงจำรัส พูดคุยกันสักพัก เจ้าฝรั่งหนุ่มมันก็จูงมือลุงจำรัสเดินไปทางข้างบ้าน แล้วก็มายืนอยู่ตรงบ่อกบ จากนั้นก็ถามลุงจำรัสว่า ไอ้เจ้าบ่อซีเมนต์ที่ทำด้วยอิฐบล็อคก่อฉาบปูนซิเมนต์ขอบสูงจากพื้นราวหนึ่งเมตรนี่ เอาไว้ทำอะไร ลุงจำรัสแกก็อธิบายว่า บ่อซีเมนต์สามสี่บ่อตรงนี้เคยเป็นบ่อเลี้ยงกบพันธุ์เนื้อ เพาะเลี้ยงไว้ขายส่งให้คนในเมือง แต่ตอนนี้ไม่ได้ใช้งานแล้ว ซึ่งลุงจำรัสเองก็บอกกลับไปด้วยว่า อีกไม่นานนี้ จะดัดแปลงเป็นเรือนกล้วยไม้ …
…เจ้าฝรั่งได้ฟังก็ทำเอียงคอ ทำหน้าเหมือนหมางง แล้วเจ้าฝรั่งมันก็เล่าให้ลุงจำรัสฝังว่า เมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นคืนที่ฝรั่งคู่นี้ได้นอนพักอยู่ ทั้งสองคนผัวเมียก็ได้ยินเสียงกบร้องระงมไปทั่วรอบบ้าน เสมือนว่ามีกบอยู่ในเขตบ้านเป็นจำนวนหลายร้อยตัว ทำเอาทั้งคู่นอนไม่หลับ ฝ่ายตัวผัวเองจึงตัดสินใจเดินออกมาจากห้องนอน แล้วส่องไฟฉายตรวจดูไปรอบบ้าน แต่ก็ไม่พบกบสักตัว แถมเสียงกบที่ดังอืออึงอยู่ ก็เงียบกริบลงไปอย่างน่าประหลาด คงเหลือแต่เสียงจิ้งหรีด และเสียงแมลง นิดๆหน่อยๆ เป็นปกติเหมือนอย่างทุกๆคืน
แต่พอไอ้จอห์นมันกลับเข้าห้องนอน เสียงกบก็กลับดังขึ้นมาเหมือนเดิม แต่การกลับมาดังขึ้นอีกในครั้งนี้ มันดังมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า .. สองคนผัวเมียนอนมองหน้ากันท่ามกลางแสงสลัวจากแสงจันทร์ที่แทรกเข้ามาจากทางหน้าต่าง แมรี่เมียของไอ้จอห์นก็บอกให้นอนเถอะอย่าไปสนใจ แล้วทั้งคู่ก็หลับลงไปท่ามกลางเสียงกบที่ระงมอยู่อย่างนั้น ด้วยความอ่อนเพลียของทั้งคู่ที่วันๆ ได้เที่ยวเดินตะลอนตะลอนไปทั่ว…
….ลุงจำรัสแกก็ตอบกลับไอ้เจ้าจอห์นไปทำนองว่า .. ไม่มีอะไรหรอก กบมันก็คงจะหลุดๆ หลงๆ อยู่แถวนี้มาตั้งแต่สมัยทำฟาร์มกบ เนิ่นนานผ่านไป มันก็คงขยายพันธุ์ออกลูกออกหลานกันทั่วไป ยิ่งบ้านหลังนี้ คนนอกจะเข้ามาไม่ได้ด้วย กบมันก็เลยอยู่กันสบาย เป็นเรื่องปกติ
…ทั้งหมดทั้งมวลที่ลุงจำรัสได้ตอบเชิงอธิบายออกไปให้เจ้าฝรั่งฟังนั้น แกก็พูดออกไปเพื่อไม่ให้เจ้าฝรั่งมันกลัว หรือตัดข้อสงสัยต่างๆ ออกไป แต่แท้จริงในใจของลุงจำรัสนั้น ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่า มันจะมีกบอาศัยอยู่ในบ้านได้อย่างไร เพราะแหล่งน้ำที่ให้กบอยู่ก็ไม่มี พื้นดินในบ่อกบก็แห้งสนิท อีกทั้งผนังบ่อก็สูงเป็นเมตร แหล่งอาหารที่อับชื้นแหล่งน้ำปัจจัยที่จะให้กบอยู่ได้ ก็ไม่มีสักอย่าง ..
ในความคิดของลุงจำรัสก็คิดว่า ไอ้ฝรั่งสองคนผัวเมียมันคงเจอผีอีนังพม่าตายท้องกลมเข้าแล้วเป็นแน่ และในระหว่างที่ลุงจำรัสแกอธิบายให้เจ้าฝรั่งฟัง แกเองก็ไม่ได้แสดงสีหน้าหรืออาการพิรุธอะไรให้ฝรั่งมันรู้สึกผิดสังเกตอะไร จากนั้นลุงจำรัสก็ เซย์กู๊ดบาย..แก่ฝรั่งผัวเมีย ก่อนที่แกจะสตาร์ทเครื่องรถขับออกไป…
….แล้วคืนวันนั้นนั่นเอง เมื่อฝรั่งสองผัวเมียได้เคลิ้มหลับลงไปได้ไม่นาน ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะเสียงกบที่ร้องลั่นระงม เช่นคืนก่อนจนนอนหลับไอ้จอห์นมันทนไม่ไหว มันจึงคว้าไฟฉายรีบลุกขึ้นเดินลงไปหาต้นตอเสียงให้หายข้อสงสัยจงได้ ครั้งนี้แมร์รี่ไม่ยอมให้จอห์นสามีของเธอเดินลงไปคนเดียว เธอคว้ามือจอห์นแล้วเดินจูงมือออกไปด้วยกัน แต่คืนนี้ก็ไม่ได้เหมือนกับคืนก่อน เมื่อไอ้จอห์นมันเดินออกไปถึงนอกชานบ้าน มันก็ส่องไฟฉายไปรอบๆ บ้าน จนแสงไฟมาหยุดอยู่ตรงที่บ่อกบ ไอ้จอห์นมันเห็นเงาอะไรตะครุ่มๆ อยู่ในบ่อกบ มันจึงจ่อแสงไฟส่องนิ่งไปยังเป้าหมาย พร้อมกับตะโกนร้องถามเป็นภาษาอังกฤษว่า ” ใครๆๆ “…ก็ไม่มีเสียงใครตอบกลับมา แต่สักพักสิ่งที่สองคนผัวเมียนั้นเห็นในบ่อกบไปพร้อมๆ กันก็คือ….
….ร่างผู้หญิงสาวใส่เสื้อคอกระเช้านุ่งผ้าถุง ที่หันหลังอยู่ค่อยๆหมุนตัวกลับมาหาไอ้จอห์นและแมร์รี่ ในมือทั้งคู่ของหญิงสาวผู้นั้นชูขึ้นสูงราวระดับหู ในมือทั้งสองก็จับกบตัวเบ้อเริ่มไว้จนแน่นลักษณะเป็นการบีบ และในปากของหญิงสาวคนนั้นก็ได้อมส่วนหัวและขาหน้าของกบเอาไว้จนแก้มตุ่ย ส่วนที่โผล่ออกมาจากปากก็คือ ครึ่งท่อนท้ายและสองขาหลังที่กระตุกเต้นเหมือนอาการกบกำลังพยายามจะหนีออกจากความตาย….
….ภาพอันน่าสยดสยองนี้ทำให้สองคนผัวเมียถึงกับอ้าปากค้าง ก้าวขาไม่ออก ไอ้จอห์นเกร่งมือกำไฟฉายไว้แน่นด้วยอาการสั่นระริก จากนั้นหญิงสาวในบ่อกบก็คายกบในปากออก แล้วแสยะยิ้มออกมา ฟันที่เป็นร่องห่างในปากก็ดำปี๋ ลิ้นแดงและมีน้ำหมากไหลเยิ้ม….พอหญิงสาวในบ่อกบแผดเสียงร้องที่แหบแห้งดัง ” แฮ่ ” ขึ้นมา สองคนผัวเมียก็กระโดดหันหลังกลับวิ่งเข้าห้องนอนทันที ไอ้จอห์นกับเมียมันพอเข้าห้องได้ แมร์รี่ก็โถมตัวพุ่งเข้ามุ้งอย่างแรงจนสายมุ้งขาด สองคนนอนกอดกันกลมอยู่ภายใต้สาลีผ้าผวยที่พันกันอีรุงตุงนัง จนไม่รู้ว่าผืนไหนเป็นผืนไหน..
…ผ่านไปราวสักครึ่งชั่วโมง ไอ้จอห์นก็พอจะได้สติ มันก็รีบต่อโทรศัพท์มือถือถึงลุงจำรัส
… สมัยนั้นสัญญาณโทรศัพท์มันยังไม่ดีเหมือนกับสมัยนี้ ไอ้จอห์นมันก็พยายามโทรออกเพื่อติดต่อกับลุงจำรัสแต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้ ทั้งคู่จึงต้องทนนอนรออยู่ด้วยความหวาดกลัว จนถึงรุ่งเช้า …
….พอฟ้าเริ่มสาง วันนั้นลุงจำรัสแกก็เกิดสังหรณ์ใจอะไรขึ้นมาแปลกๆ ในใจแกมีความกังวลว่า ที่แม่ออนโฮมสเตย์น่าจะมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้น แกเลยรีบขับรถไปหาฝรั่งสองคนผัวเมีย โดยที่ยังไม่ได้ล้างหน้าสีฟัน
ไม่นานลุงจำรัสก็มาหยุดรถอยู่ตรงหน้าบ้านแม่ออนโฮมสเตย์ แล้วก็เป็นเวลาเดียวกับที่สองคนผัวเมียกำลังสะพายเป้หลังเดินลงจากบ้านพอดี ลุงจำรัสกับสองคนผัวเมียก็สนทนากันสักพักใหญ่ เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จากนั้นลุงจำรัสก็ขับรถไปส่งฝรั่งผัวเมียที่สถานีรถไฟตรงสันป่าข่อย สองคนผัวเมียก็ร่ำลาลุงจำรัสก่อนที่จะเปลี่ยนแผนเดินทางไปกรุงเทพฯ และกล่าวกับลุงจำรัสว่า ดีใจที่ได้มีประสบการณ์ผีในการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยในทริปนี้ด้วย….
…ผมก็นั่งฟังลุงจำรัสแกโม้เรื่องผีมาตั้งแต่ขนของออกจากคุ้ม จนวิ่งออกพ้นเขตเมือง จนจบเรื่อง….
….ผมก็เลยถามแกให้แน่ใจอีกทีว่า ” ตกลงก็ต้องปิดกิจการไป กลายบ้านผีสิงไปใช่มั้ยลุง ? “…ลุงจำรัสแกก็ตอบกลับมาว่า..
….” แน่นอน ผีมันเฮี้ยนขนาดนี้ ใครจะไปทนทำต่อ สงสารคนมาพักว่ะ “….
ผมก็นั่งคุยกับแกไปบนรถปิคอัพจนเพลิน เหมือนจะผ่านสันกำแพงมาแล้วแต่ก็ไม่รู้ว่ามาถึงตรงไหนจำได้แค่ว่ามีป้ายทางหลวงเขียนว่า ” ฮ้องวัวแดง ” สักพักยางหลังรถก็แตก !!…ลุงจำรัสก็พยายามหันหัวรถเข้าข้างทาง รถบรรทุกของมาหนัก พอยางแตกกะทะล้อก็เบี้ยงแบบดูไม่จืด .. ” มียางอะไหล่มั้ยครับลุง ? “…ผมถามลุงจำรัส แล้วลุงแกก็ตอบกลับมาว่า..
.. ” เคยมี แต่ตอนนี้ถูกขโมยไปละ “…งามไส้เลยทีนี้ ผมก็เลยต้องโทรหาไอ้มิตรลูกน้องที่แสนดีให้มันรีบเอายางอะไหล่มาส่งให้ด่วน….กว่าไอ้มิตรจะเอายางอะไหล่พร้อมแม่แรงมาถึงคงต้องรอเป็นชั่วโมงแน่ นี่ก็บ่ายแก่ๆ กว่าไอ้มิตรจะมา กว่าจะเปลี่ยนล้อเสร็จ คงเย็นย่ำ….คิดแล้วก็ท้อใจ…
….หรือชะตากรรม มันทำให้เราต้องเดินทางไปยังบ้านผีสิงที่แม่ออนหลังพระอาทิตย์ตกดิน เป็นแน่…
จบภาคแรก

Leave a Reply