อิงข่านเก็บความชุ่มชื่นหัวใจไว้เงียบๆ
เช่นเดียวกับแววตา ที่เธอก็รู้สึกได้ว่าคนที่เธอตามหานั้นเธอได้เจอเข้าแล้ว
“นิ! แม่แววตาคนงาม มาทำอะไรแถวนี้ เห็นแวบๆ ไหนอะไรในมือไหนมาดูหน่อยสิ” แววตารีบยื่นของให้เพื่อนดูอย่างมีความสุข ดูท่าว่าจะเป็นเรื่องสนุกสนาของเธอเลยทีเดียว เธอยื่นให้เพื่อนอย่างไม่หวงแหนในของล้ำค่าเลยสักนิด ขนาดโดนอาจารย์ว่าก็ยังไม่สนใจ
จนสักพักแววตาหันมายิ้มกับผม แล้วค่อยๆ เดินแยกออกมาจากกลุ่มเพื่อนมาคุยกันตามลำพังใต้ร่มไม้ จึงได้โอกาสสนิทสนมกันมากขึ้น
แววตาเอ่ย “ชอบของเก่ามากมั้ยคะ แววตาชอบมากเหมือนผูกพันกันมาแต่ชาติปางไหน และถ้ามันเคยเป็นของเรา แววตาเชื่อว่ามันก็จะกลับมาเป็นของเราแน่ๆ คะ แต่ถึงไม่ได้กลับมา มันก็ยังเป็นของล้ำค่าของแผ่นดิน อาจารย์เชื่ออย่างนั้นมั้ยคะ”
“เชื่อสิ คนเราไม่ได้เกิดมาแค่ชาติเดียว มีแรงสนับสนุนตั้งมากมายที่ทำให้เราได้มาตรงนี้ และที่สำคัญมันทำให้เราได้เจอกันวันนี้”
แววตาดูอึ้งไปกับคำตอบที่ผมตอบ ผมเลยคุยเรื่องอื่น “แล้วแววตาชอบอะไรอีกล่ะ มีเรื่องอะไรสนุกๆ เล่าให้ฟังบ้างสิ”
“มีคะมีอยู่เรื่องนึงที่เก็บไว้มานาน ขอเล่าให้ฟังนะคะ ไม่รู้ทำไมถึงอยากเล่าให้อาจารย์ฟัง”
“ตั้งแต่จำความได้ แววตามักจะฝันแปลกๆ ซ้ำๆ กันว่ามารอพบใครสักคน มาตามหาเค้า ทุกเช้าที่ตื่นมาจะเหมือนหัวใจมันไม่เต็ม มันหายไปส่วนหนึ่ง มันเป็นแบบนี้มาตลอด จนทุกวันนี้ยังคงตั้งใจว่าจะรอจนเจอคนๆ นั้น คนที่ใช่ คนที่ทำให้อีกส่วนหนึ่งที่หายไปกลับมาเต็มอีกครั้ง เพราะเหนือสิ่งอื่นใดในโลก คือ การพบอีกครึ่งหนึ่งแห่งดวงวิญญาณที่ขาดหายไป และการได้พบอีกครึ่งหนึ่งนั้นมันทำให้ทุกอย่างในโลกไม่สำคัญอีกต่อไป อาจารย์ว่าอย่างนั้นมั้ยคะ”
“แล้วพบเค้าคนนั้นหรือยังล่ะ”
“แววตาเชื่อสัมผัสแรกของตัวเองเสมอ และมันก็ไม่เคยพลาด เราคบกันได้มั้ยคะ”
ผมนี่อึ้งไปเลย…เพราะผมก็รู้สึกแปลกๆ กับแววตาเหมือนกัน แค่ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ นี่ชีวิตเรากำลังจะเปลี่ยนไป มันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว…เพราะคำตอบของผมคือ “ตกลงครับ”
ด้านหลุมขุดค้น…
ดร.เอนก กำลังบรรยายเพิ่มเติมให้นักศึกษาฟังเกี่ยวกับเมืองทวารวดีว่า…
นอกจากทวารดีจะแปลว่าเมืองท่าแห่งการค้าแล้ว มันยังมีที่มาอีกชื่อจากชื่อเมืองทวารกะ ซึ่งเป็นเมืองของพระกฤษณะ องค์อวตารของพระนระ หรือพระนารายณ์…..
ผมกับแววตา พากันเดินกลับมาชวนเอนกกลับบ้าน เนื่องจากมันเย็นมากแล้ว เอนกเก็บข่าวเก็บของเสร็จแล้วก็เตรียมจะกลับ แต่เห็นว่าเย็นมากแล้วจึงเสนอ ว่าไปส่งแววตาที่บ้านก่อน ผมเห็นด้วยและก็ได้โอกาสที่จะรู้จักเส้นทางไว้ด้วยเลย แววตาก็คุยเจื้อยแจ้วมาตลอดทาง จนล่ำลากันเมื่อถึงบ้านของเธอ
“อย่าลืมฝันอีกนะ แล้วเจอกันในฝันนะ” ผมกล่าวลา แววตายืนยิ้มอย่างมีความสุขและเข้าบ้านไป
พอแววตาเดินไปลับตาเท่านั้น….
“นิ! กระผมตกข่าวอะไรไปหรือป่าวครับ..คุณอิงข่าน”
“ป่าวววว…ไม่มีไร เราแค่ตกลงคบกัน…แค่นั้นเอง”
“ห๊ะ…อะไรนะ นิรู้มั้ย ไม่เคยเห็นแววตาจะชอบผู้ชายคนไหนเลยนะ ขนาดคนใหญ่โตขนาดไหนมาจีบ ยังไม่เห็นจะสนใจ”
“อันนี้ก็ไม่รู้สินะ…คนเราถ้ามันใช่มันก็ใช่แหละ” ผมบอกเอนกไป
แล้วเอนกก็ขับรถไปส่งผมถึงบ้านด้วยความอยากรู้เรื่องเพื่อน เราก็คุยสาระทุกข์สุขดิบกันไปตลอดทาง โดยที่ในใจผมก็คิดถึงแววตาตลอด มันเป็นความรู้สึกที่แปลกมาก เจอแปบเดียวแต่ดึงใจไปได้ทั้งดวง มันไม่เคยเป็นแบบนี้เลย
แล้วการตัดสินใจมานครปฐมของผมครั้งนี้ก็เปลี่ยนชีวิตผมไปตลอดกาล จากค่ำคืนที่หลับอย่างไรจุดหมาย ก็กลายเป็นเรื่องราวที่แสนจะมีอะไรให้นึกถึง
เมื่อผมกลับถึงบ้านก็โทรหาแววตาอีกครั้งเผื่อเธอยังไม่นอน ได้คุยกันอีกหลายเรื่องเราเข้ากันได้ดีในเรื่องความเชื่อ แล้วต่างคนก็ต่างลากันด้วยความหวังที่ว่าเราจะพบกันในฝันคืนนี้นะ
ผมวางสายด้วยความสุขอย่างบอกไม่ถูก เดินขึ้นเตียงซุกตัวลงในผ้าห่มหนาๆ ที่ชอบ แต่ที่แปลกคือ พอหัวถึงหมอนอยู่ๆ ผมก็ได้กลิ่นกุหลาบลอยมา แล้วหนังตาก็หนักลงทันที…
เราจะเจอกันในฝัน หรือไม่ กลิ่นกุหลาบมาจากไหน
โปรดติดตามตอนต่อไป
– ญาตา –
Leave a Reply