ผีคุ้มเจ้าหลวง ตอนที่ 13

. . . ก ร ะ ดิ่ ง ใ บ นั้ น มั น ก็ ยิ่ ง ส่ ง เ สี ย ง ดั ง ม า ก ขึ้ น . . .
. . . แ ผ่ น ใ บ โ พ ธิ์ รั บ ล ม ก็ แ ก ว่ ง ไ ก ว โ ย น ตั ว . . .
. . . เ ห มื อ น ร า ว กั บ ว่ า ต้ อ ง ล ม พ า ยุ . . .
……………………………………………………………
…….ผมหันไปเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งท่าทางไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ มานั่งลับมีดอยู่แถวที่เราคุยอยู่กับชาวบ้าน…
….ผมนึกในใจ …ไอ้ห่าเอ๊ย มานั่งลับมีดอยู่ได้ คนกำลังคุยกัน มันใช่เวลามั้ยนั้น…
พอชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืน แล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังลั่นว่า ” เฮาบ่าจ่าย เป็นจ๊ะได๋เฮาก็บ่าจ่าย “…เท่านั้นแหละ ไอ้เด็กวัยรุ่นที่มันนั่งลับมีดอยู่ มันก็ยืนขึ้นในมือของมันก็ถือมีดเล่มยาวสักหนึ่งฟุตเห็นจะได้ยืนยักไหล่   ทำท่าเหมือนว่าพร้อมที่จะเข้ามาฟันเราได้ทุกเมื่อ
…ส่วนเด็กวัยรุ่นอีกคนมันก็เดินเข้าไปหยิบเสียมด้ามยาว   ออกมาจากใต้ถุนหลองข้าว
……ผมเห็นท่าไม่ดี ผมจึงเอามือเอื้อมไปแตะแนวเข็มขัดด้านหลัง วันนั้นผมใส่เสื้อปล่อยชายออกนอกกางเกง  ผมทำท่าเหมือนมีปืนพกสั้นอยู่ด้านหลัง   แต่จริงๆ  มันคือโทรศัพท์มือถือโมโตโรล่ารุ่นเก่า ที่มีปลอกหุ้มพลาสติคสีดำมีคลิปล็อคที่เข็มขัด   มองให้เป็นปืนพกสั้น   มันก็พอหลอกตาได้อยู่
….คุณโจ้ก็รับมุก  รีบลุกขึ้นยืนแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ต  ให้เห็นว่ามีอะไรตุงๆ  อยู่ในเสื้อ
..เราทั้งคู่ก็ค่อยๆเดินถอยหลังอย่างช้าๆกลับไปที่รถ…ไอ้เจ้าเด็กวัยรุ่นที่มีอาวุธครบมือ   มันก็เดินตรงเข้ามาหาเราสองคน
…..ผมคิดอยู่ในใจว่า…วันนี้เราอาจจะยังไม่ถึงตาย   แต่ถ้าโชคร้ายเราก็คงบาดเจ็บสาหัส…
…..ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ   หลังจากที่ได้กลับขึ้นมานั่งอยู่บนรถด้วยความปลอดภัยคุณโจ้รีบสตาร์ทรถแล้วเร่งเครื่องหนีออกมาจากสถานการณ์ที่เริ่มจะมีความตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจะบานปลายไปก็ได้   พอรถเคลื่อนตัวออกมาได้สักพัก   คุณโจ้ก็หันมามองหน้าผมแล้วส่งยิ้ม   สีหน้าอารมณ์สุขปนตื่นเต้น   เหมือนกับว่าเพิ่งจะลงมาจากรถไฟเหาะตีลังกา

….”แหม  คุณโจ้.. เกือบจะโดนเด็กมันเอามีดไล่แทงแล้วยังจะมีหน้ามายิ้มอีก “..ผมพูดกับคุณโจ้ แล้วคุณโจ้ก็ตอบกลับมาว่า
…” มันก็ตื่นเต้นดีนะอาจารย์ ผมไม่ค่อยได้เจอเรื่องอย่างนี้มานานแล้ว รู้สึกสนุกดี “….
…..กลับไป ผมก็จะขอพูดตรงๆกับพ่อเลี้ยงเลยว่า…
….เรื่องนี้ควรต้องเปลี่ยนให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายอื่นเข้ามาดูแล   เพราะดูมันจะไม่ค่อยจะเหมาะกับเราสองคนสักเท่าไหร่…

….ผ่านไปสักพัก   คุณโจ้แกก็ขับรถมุ่งหน้าตรงไป ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะเป็นการขับรถกลับเข้าตัวเมืองเป็นแน่
…” มีเรื่องกับผีมาเยอะแล้ว มีเรื่องกับคนบ้างก็ผมก็ว่า มันตื่นเต้นดีนะ “…คุณโจ้ก็ยังคงยิ้มค้างต่อไปอย่างนั้นอยู่อีกสักพักใหญ่

จากนั้นคุณโจ้ก็พาผมไปตะเวนดูที่ดินแต่ละแปลงแต่ละจุด  ที่เป็นสมบัติของบริษัทในตำบลสันป่าตองรถวิ่งผ่านแปลงนาที่ต้นข้าวกำลังยืนต้นเขียวเต็มทุ่งไปหมด
…คุณโจ้ค่อยๆชะลอรถให้ช้าลง   แล้วก็ยื่นหน้าชะเง้อสายตามองผ่านออกไปทางช่องหน้าต่างด้านซ้าย   ผมเลยต้องขยับตัวเอาหลังชิดเบาะเพื่อไม่ให้ตัวผมบังสายตา   คุณโจ้เลยมองผ่านออกไปได้สะดวกขึ้น   ผมเองก็ยังสงสัยว่าคุณโจ้มองอะไรอยู่ ซึ่งผมเองก็พยายามมองตามออกไป   ก็เห็นเพียงแค่ซากกองอิฐเก่าๆ  มองๆดูก็คล้ายๆ  กับฐานเจดีย์โบราณ   และใกล้ๆ  กันนั้นก็มีสิ่งปลูกสร้างที่สร้างขึ้นมาอย่างง่ายๆ  โดยมีเสาเข็มหกเหลี่ยมที่ตั้งขึ้นเป็นแนวหน้ากว้างราวสี่เมตร สร้างลึกเข้าไป   เปิดโล่งไม่มีผนัง   พร้อมคานเหล็กเชื่อมโครงหลังคามุงสังกะสีไว้เสร็จ   มองดูเหมือนโรงเจ   โรงทาน   อะไรประมาณนั้น…ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจเลย…
….คุณโจ้หยุดรถจอดอยู่ตรงหน้าสิ่งปลูกสร้างที่ว่านั้น .. ” อาจารย์ครับ ลงตรงนี้ก่อนครับ ” ..คุณโจ้กล่าวขึ้น

จากนั้นผมก็ลงจากรถ   แล้วก็ออกเดินสำรวจพื้นที่แถวๆ  นั้นโดยที่ไม่สนใจว่าคุณโจ้ให้ลงจากรถทำไม  ในขณะที่คุณโจ้เดินสำรวจอยู่รอบๆ  สิ่งปลูกสร้างที่บริเวณนั้นอยู่   ผมก็เดินออกไปมองดูวิวทั่วๆบริเวณทุ่งนา   ผมเห็นน้ำที่ไหลเชี่ยวๆ  อยู่ในลำเหมืองเล็กๆ   ที่ส่งน้ำเข้านา   มีนกกระยางตัวสีขาวๆ  เต็มท้องทุ่งไปหมด   ก้มลงไปมองที่พื้นคันนา   ก็เห็นปูดำตัวหนึ่งเดินไต่อยู่มองไปบนผิวน้ำก็เห็นแมลงที่มีชื่อว่า   “แมงมุมน้ำ”  หรือ  “จิงโจ้น้ำ”  กระโดดหากินอยู่ ..ผมก็พอจะรู้ได้เลยว่าที่นี่คงใช้สารเคมีน้อยหรือ   อาจจะไม่ได้ใช้สารเคมีเลย ….
….จากนั้นผมก็เดินกลับไปหาคุณโจ้ แล้วถามแกว่า .. “เรามาดูอะไรกัน   แถวนี้มีอะไรเหรอครับ ? “..ผมเอ่ยถามคุณโจ้

คุณโจ้ก็เล่าให้ฟัง พอจะจับใจความได้ว่า ..

….. ตามโฉนดที่ดิน   ที่ดินแปลงนี้มีขนาดประมาณ   12   ไร่   ซึ่งเป็นทรัพย์สินของบริษัทฯ
..นับจากแนวด้านหน้าที่ติดถนนนี้หน้ากว้างประมาณ   200   เมตร.. แล้วลึกเข้าไป   ส่วนกองซากเจดีย์ที่อยู่ด้านหน้านี้   กรมศิลปฯ  ได้มาสำรวจ   ประกาศให้เป็นโบราณสถาน   พื้นที่โดยรอบประมาณ   200   ตารางวา   พื้นที่ตรงนี้   ทางบริษัทฯ  ก็ยกให้กรมศิลปฯ  ไปหลายปีแล้ว…
พื้นที่ที่เหลือ ก็ให้ชาวบ้านเช่าทำนากันไป…
แต่สิ่งปลูกสร้างที่เห็นอยู่ตรงนี้   ใครเป็นคนมาสร้าง นี่เป็นการบุกรุกที่ดินกันชัดๆ   หากทาง
บริษัทฯ  ปล่อยไว้ไม่ดำเนินการขับไล่   ก็จะกลายเป็นการครอบครองปรปักษ์ไปได้ในที่สุด .. เหมือนกับที่ดินและอาคารในหลายๆแห่งที่บริษัทฯ  ตามไล่ฟ้องอยู่…
….เผอิญมีชาวบ้านเดินผ่านมาพอดี   คุณโจ้เลยสอบถามว่าใครเป็นคนมาสร้างสิ่งปลูกสร้างนี้ ..
“พ่ออุ้ยครับ   โรงเรือนที่ปลูกอยู่ตรงนี้เป็นของใครเหรอครับ ? ”

…พ่ออุ้ยคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า   ไม่รู้ว่าใครมาสร้าง
แต่ให้เราไปถาม   พ่อหลวง ( ผู้ใหญ่บ้าน )   ซึ่งบ้านก็อยู่ใกล้ๆ  แถวนั้น   ผมและคุณโจ้จึงได้เดินไปที่บ้านพ่อหลวง
…..” พ่อหลวงครับ พ่อหลวงอยู่มั้ยครับ “…สักพักก็ได้ยินเสียงหมาเห่า   แล้วผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งก็เดินออกมา
….” ไผนะ มีได๋กัน “…ชายผู้นั้นก็ขานรับเสียงเรียกของเรา   และกล่าวแนะนำตัว ” เฮานี่ละ เป๋นป้อหลวง   มีได๋ให้เฮาจ่วย ”
….คุณโจ้ก็เริ่มต้นสนทนา .. “เออ   คือผมอยากจะทราบว่า   ใครมาสร้างโรงเรือนไว้ใกล้ๆ   องค์เจดีย์   นะครับพ่อหลวง”….”ปะทก   เฮาก็กึดว่าเรื่องได๋   โฮงเฮือนที่ว่าฮั่น   ตางวัดหัวรินเปิ้ลส่งคนมาแปง ยะไว้เพื่องานบุญ  พิธีรุกขมูลเข้าก๋ำ   ตี้กำลังจะมาถึง บ่าเมินนี่ล่ะ” .. พ่อหลวงตอบกลับ

แล้วคุณโจ้ก็อธิบายกลับไปว่า….”แต่ที่ดินตรงนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ของผมนะครับ   ไม่ใช่ของวัด ” พ่อหลวงฟังคุณโจ้พูดแล้วก็ทำสีหน้าสงสัย   แล้วตอบกลับมาว่า
…” เอ๋า ตี้ดินตรงเพ้ มันบ่าจ้ายตี้ดินของหลวง ของกรมศิลปฯ   แต่มันเป๋นตี้ดินของป้อหนุ่มรึ ? “..
….เราก็นั่งคุยกับพ่อหลวงสักพักก็ได้ความว่า   ทั้งทางวัดและชาวบ้านทั้งหลายต่างก็คิดว่า   ที่ดินบริเวณรอบองค์เจดีย์ทั้งหมดเป็นของกรมศิลปฯ .. ซึ่งอาจจะเป็นเพราะ บริเวณที่ตั้งองค์เจดีย์โบราณนั้น   เป็นที่ดอนสูงจากพื้นราวๆหนึ่งเมตร   มีพื้นที่รวมๆ  ที่เป็นที่ดอนนี้ก็ประมาณ   หนึ่งไร่เห็นจะได้ โดยตัวองค์เจดีย์เองก็มีฐานราว สี่เมตรคูณสี่เมตรเท่านั้น ทางกรมศิลปฯ  ก็ตีเส้นให้มีพื้นที่รายรอบเพียงแค่   200   ตารางวา   แต่ทั้งทางวัด และ ทางชาวบ้านก็เข้าใจว่า ที่ดอนอันเป็นที่ตั้งขององค์เจดีย์ที่มีเนิ้อที่ราวหนึ่งไร่นั้นเป็นที่ดินของกรมศิลปฯ

….จึงได้มาปลูกสร้างโรงเรือน เพื่อใช้ประกอบพิธีรุกขมูลเข้ากรรม ( พิธีรุกขมูลเข้ากรรม คือการให้พุทธศาสนิกชนมานั่งเจริญกรรมฐานกันในโรงเรือนนี้ เป็นพิธีที่กระทำสืบทอดกันมานานมากแล้ว )…
….” ประเดียว ป้อหลวงจะพาพวกตั๋วทั้งสอง เตียวไปคุยกับตุ๊ ตี้วัดหัวรินเน้อ .. ” พ่อหลวงพูดจบ ก็พาเราทั้งสองคนไปหาท่านฯ รองเจ้าอาวาสวัดหัวริน ซึ่งอยู่ในละแวกเดียวกันนั้นเอง พอเราสามคนเดินเข้ามาในเขตวัดหัวริน พ่อหลวงก็พาผมกับคุณโจ้มานั่งพักอยู่ที่อาคารหลังหนึ่ง พ่อหลวงบอกให้เราสองคนนั่งรออยู่ตรงนี้ แล้วพ่อหลวงก็เดินไปไหน ผมก็ไม่ทราบได้ คุณโจ้ก็เลยขอตัวไปย้ายรถที่จอดอยู่ด้านนอกเข้ามาจอดในวัด ..
….ผมเห็นว่าบนอาคารที่ผมนั่งอยู่นี้ มีรองเท้าถอดอยู่เต็มหน้าบันไดทางขึ้น ผมจึงอดที่จะเดินสำรวจไม่ได้
ปรากฎว่าอาคารแห่งนี้ เป็นอาคารที่ปลูกสร้างขึ้นแบบมาตราฐาน มีบานเลื่อนกระจกติดแอร์ มีป้ายติดว่าเป็น
..” ชมรมแม่บ้านวัดหัวริน

“.. มีผู้หญิงนั่งเย็บจักรกันเป็นแถวเป็นแนว ไม่ผิดไปจากโรงงานเย็บผ้าโหลเลย..
…เผอิญมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินผ่านมา ผมจึงได้สอบถามว่าที่นี่ทำกิจกรรมอะไร ก็เลยได้ความว่าที่ชมรมแม่บ้านแห่งนี้ มีตัวแทนเอกชนเข้ามาฝึกสอนและบริหารงานตัดเย็บชุดกิโมโน ตามออเดอร์เพื่อส่งออก
ก็เป็นการส่งเสริมรายได้ให้กับชุมชน…
….สักพัก คุณโจ้ก็จัดการจอดรถเข้าที่ ไม่นานนักพ่อหลวงก็นิมนต์ท่านรองเจ้าอาวาสวัดหัวรินมาพูดคุยกับพวกเรา ถึงเรื่องการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบริเวณใกล้องค์เจดีย์ ทางท่านเจ้าอาวาสก็บอกขอเวลาอีกสักหน่อย
ขอให้พิธีรุกขมูลเข้ากรรมของปีนี้ผ่านไปก่อน ทางวัดจะจัดการรื้อถอนออกให้..

….เมื่อผมกับคุณโจ้ได้ฟังก็รู้สึกเบาใจลง เราทั้งสองก็พากันกลับเข้าเมือง รายงานเรื่องนี้ให้ทางพ่อเลี้ยงได้ทราบแต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิด เมื่อเรื่องเข้าหูแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ บอกให้เราสองคนกลับไปคุยกับทางวัดใหม่ว่า ให้รื้อถอนออกไปทันที จะให้ทางบริษัทฯจ่ายค่ารื้อถอนและจ่ายค่าแรงก่อสร้างทั้งหมดให้เลยก็ได้ แต่จะไม่ยอมให้ทางวัดดำเนินการต่อ ด้วยเหตุผลที่ว่า .. วันนี้เรายอมเค้า วันหน้าเค้าก็จะขอผ่อนปรนไปอีกเรื่อยๆ…..สุดท้าย ก็จะยื้อกันจนเราต้องยอม
….แม่เลี้ยงให้เหตุผลที่ไม่ยอมว่า ครั้งนี้เค้าบุกรุกที่ดินของเรา เราจะไม่ตอบโต้เค้าเลยคงไม่ได้
แต่จะให้แม่เลี้ยงบริจาคที่ดินให้แก่ทางวัด แม่เลี้ยงก็เต็มใจนะ แต่ต้องจัดการเรื่องตรงนี้ให้ถูกต้องเสียก่อน…

….งานเข้าล่ะทีนี้ คุณโจ้กับผม ต่างก็หันหน้าเข้าหากันทำตาปริบๆ นอกจากเราสองคนจะเคยมีเรื่องกับผี ทะเลาะกับคนจนมาวันนี้พัฒนาถึงขั้นต้องทะเลาะกับพระ มีเรื่องกับวัดอีก…ไม่รู้ว่าจะหัวเราะ หรือร้องไห้ดี..
…..รุ่งขึ้นหลังจากที่เสร็จงานในส่วนอื่นๆ ตกเย็นเราทั้งคู่ก็กลับไปที่วัดหัวรินอีก คุณโจ้เชิญตัวพ่อหลวงเข้าไปนั่งปรึกษาหารือพูดคุยกับท่านรองเจ้าอาวาส เพื่อได้รับทราบปัญหาพร้อมๆกัน… ส่วนผมเองไม่ขอรับรู้ดีกว่า ผมเลยออกมาเดินเล่นอยู่ในบริเวณวัด ผมเดินไปเรื่อยๆจนถึงประตูหลังวัด ในขณะที่ผมกำลังยืนเหม่อลอยอยู่นั้น ก็มีชายชราหลังโก่งคนหนึ่งเดินตัดหน้าผมไปพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า

.. ” คนบ่าฮู้จั๊กบาปบุญคุณโทษ ต้าเพิ้ลเป็นปี๋เพิ้ลจะมาหักคอไอ้หมู่นี่ฮื้อหมด “.. ชายชราพูดแล้วก็หันหน้ามองมาทางผม ก่อนที่จะเดินออกไปทางประตูหลังของวัด ผมก็ยืนคิดต่อไปอีกหนึ่งอึดใจว่า ตาแก่บ้านี่ ที่มันพูดขึ้นมานั้นมันหมายถึงเรารึเปล่าว่ะ มันคงจะรู้เรื่องจากปากพ่อหลวง หรือไม่ก็จากปากของพระ

….ผมจึงตัดสินใจเดินตามตาแก่คนนั้นออกไป ไหนๆวันนี้ก็ต้องมาทะเลาะกับพระแล้ว จะมีเรื่องกับคนแก่อีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร พอผมเดินออกไปถึงประตูหลังของวัด ผมก็เดินเลี้ยวตามชายแก่คนนั้นไป แต่ผมกลับมองหาคนแก่หลังโก่งคนนั้นไม่เจอ ทั้งๆที่หลังวัดก็เป็นพื้นที่โล่งๆ ถนนที่ตัดผ่านหลังวัด ก็เป็นเส้นตรง ยาวไปสุดลูกหูลูกตา ผมรีบวิ่งตามไปดูที่มุมกำแพงวัด เผื่อว่าแกจะเดินเลี้ยวไป แต่ก็ไม่มีแม้นแต่เงาของแก  ด้านข้างของกำแพงวัดที่แกพอจะเดินเลี้ยวไปได้ ก็เป็นท้องนาโล่งๆ แล้วแกจะหายไปไหนได้ จะว่าขึ้นรถอะไรไปก็เป็นไปไม่ได้ เวลากระชั้นขนาดนี้ เสียงเครื่องยนต์อะไรก็ไม่มีให้ได้ยินเลย…
….ผมเดินกลับเข้ามาในวัดด้วยความสงสัย จากนั้นผมก็ไปหยุดยืนอยู่ตรงข้ามกับโบสถ์หลังเก่าๆหลังหนึ่ง
ที่ดูเหมือนประตูจะถูกปิดตาย มองดูเหมือนไม่มีการใช้งานมานานแล้ว
… บนชายคาของโบสถ์หลังนี้ ก็เต็มไปด้วยกระดิ่ง ประดับประดาเต็มไปหมด รอบชายคาโบสถ์ทั้งสองฝั่ง ก็น่าจะแขวนกระดิ่งไว้ไม่ต่ำกว่าร้อยใบ
…ผมมองขึ้นไป ก็เห็นกระดิ่งใบหนึ่งที่แขวนอยู่ที่ชายคา ตำแหน่งอยู่ตรงหน้าสุดโดยทั่วไปกระดิ่งทุกใบก็จะต้องมีเหล็กลูกตุ้มอยู่ภายใน และจะมีแผ่นโลหะรูปใบโพธิ์เพื่อรับลม กระดิ่งจะส่งเสียงดังได้ ก็ต่อเมื่อมีลมมากระทบแผ่นใบโพธิ์รับลม
…..แต่เจ้ากระดิ่งใบนั้นมันแกว่งไกวอยู่ใบเดียว โดยที่ในขณะนั้นมันไม่มีลมเลย แล้วมันก็ค่อยๆแกว่งแรงขึ้นเรื่อยๆ จนลูกตุ้มด้านในกระทบกระดิ่งเสียงดังแก๊งๆๆ มันก็ดังอยู่อย่างนี้ใบเดียว ในขณะที่กระดิ่งใบอื่นไม่มีการไหวติงใดๆเลย ยิ่งผมให้ความสนใจกับมันมากเท่าไหร่ กระดิ่งใบนั้นมันก็ยิ่งส่งเสียงดังมากขึ้น แผ่นใบโพธิ์รับลม ก็แกว่งไกวโยนตัวเหมือนราวกับว่าต้องลมพายุ ทั้งๆที่ไม่มีลมใดๆมาต้องเนื้อตัวของผมให้ได้รู้สึกเลย ผมยังนึกในใจเลยว่า.. ถ้ามีลมอยู่ด้านบน ทำไมกระดิ่งใบอื่นๆมันถึงไม่แกว่ง ไม่ส่งเสียง แต่กลับมีแต่เจ้ากระดิ่งประหลาดใบนี้ใบเดียวที่แกว่งไกวอยู่แค่ใบเดียว อย่างเมามันส์

.. ผมรู้สึกแปลกๆ จึงเดินออกห่างจากการประจันหน้ากับโบสถ์หลังนั้น พอผมเดินออกห่างโบสถ์หลังนั้น กระดิ่งประหลาดใบนั้นก็หยุดการแกว่งไกวทันที มันกลับหยุดอยู่นิ่งเหมือนกระดิ่งใบอื่นๆ…
….ท้องฟ้าก็เริ่มจะมืดลงแล้ว แต่ผมเองก็ยังมีความข้องใจ ในกระดิ่งประหลาดใบนั้น ผมจึงตัดสินใจเดินกลับไปเพื่อพิสูจน์ พอผมเดินเข้าไปยืนประจันหน้ากับโบสถ์หลังนั้นอีกครั้ง เจ้ากระดิ่งประหลาดใบนั้นก็แกว่งไกว สบัดตัวส่งเสียง แก๊งๆๆๆๆ เหมือนพยายามจะบอกกับผมว่า ที่ตรงนี้มีสิ่งเร้นลับอยู่จริง

.. เมื่อตอนที่กระดิ่งประหลาดใบนี้ ดังขึ้นครั้งแรกผมยังมองให้เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ คิดว่าเจ้ากระดิ่งใบนั้นคงไปอยู่ตรงช่องลมพอดี จึงแกว่งไกวอยู่ใบเดียว แต่พอมาครั้งที่สองนี่ ผมเชื่อเลยว่า ไม่ใช่เรื่องปกติแล้ว… มันจะแกว่งไกวได้เอง มันจะสั่นตัวมันเอง มันจะดังขึ้นมาเอง เมื่อเจอหน้าผม ราวกับว่ามันติดตั้งตัวเซ็นเซ่อร์ไว้ ผมจึงค่อยๆเดินถอยหลังออกห่างจากโบสถ์หลังนั้น…

….คุณโจ้เสร็จจากการพูดคุยกับทางวัดพอดี ผมจึงเดินตรงไปหาคุณโจ้ ผมเองก็ไม่ได้สนใจที่จะสอบถามว่าผลของการพูดคุยกับทางวัดนั้นจะออกมาเป็นอย่างไร ผมกลับดึงมือให้คุณโจ้ไปดูกระดิ่งประหลาด ที่มันสามารถสั่นเองได้ เมื่อเจอหน้าผม คุณโจ้ก็ทำหน้า งงๆ

… ผมจึงค่อยๆอธิบายถึงเรื่องที่ผมได้เจอะเจอมาให้คุณโจ้ฟัง
ผมพาคุณโจ้ไปยืนประจันหน้ากับโบสถ์หลังเก่าหลังนั้น เจ้ากระดิ่งประหลาดมันก็สั่นตัวเองดังลั่นอยู่ใบเดียวเช่นเคย ผมดึงแขนคุณโจ้ให้ห่างออกมา เจ้ากระดิ่งใบนั้นมันก็หยุด .. เราทำกันอยู่อย่างนี้หลายรอบ ผลก็ออกมาแน่นอนอย่างนี้ทุกครั้ง จนคุณโจ้หลุดปากออกมาว่า ” มีใครมาเล่นกลให้ดูรึป่าวว่ะเนี้ย ? ”

…พอสิ้นคำพูดของคุณโจ้ไม่เท่าไหร่ กระดิ่งที่แขวนอยู่ที่ชายคาโบสถ์ทั้งหมดร่วมร้อยใบ มันก็พร้อมใจกันสั่นตัวเอง ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนผมกับคุณโจ้ตกใจ และเกิดความหวาดกลัว ขนลุกซู่ขึ้นมาเหมือนโดนผีหลอก ผมกับคุณโจ้ไม่ได้นัดกันวิ่ง แต่เราวิ่งออกจากที่ตรงนั้นพร้อมกันต่างหาก…
….พอเราสองคนขึ้นมานั่งบนรถได้ ผมก็ถามคุณโจ้ว่า.. ” คิดว่า มีอะไรบางอย่างพยายามที่จะไล่เราออกจากวัดนี้ มั้ย ? ”

คุณโจ้ก็ตอบกลับมาว่า .. ” ถึงไม่มีอะไรมาไล่ ผมก็ไม่คิดที่จะอยู่นานหรอกครับอาจารย์ เรารีบไปกันเถอะ ” .. แล้วคุณโจ้ก็สตาร์ทรถ รีบออกจากวัดทันที… ฟ้าก็เริ่มมืดลง

ในขณะที่รถเลี้ยวออกจากวัดไปได้ไม่กี่สิบเมตร ก็ปรากฎร่างชายแก่หลังโก่ง เอามือไข้วหลังเดินข้ามถนนผ่านหน้ารถเราไปอย่างช้าๆ ในระยะห่างจากรถเราพอสมควร พอรถเราผ่านเข้าไปใกล้ชายแก่คนนั้น ผมก็จำได้ทันทีว่า เป็นคนเดียวกันกับที่ผมเห็นตรงประตูหลังวัด .. ผมจึงบอกให้คุณโจ้หยุดรถก่อน  เพื่อที่จะได้จบข้อสงสัยกับชายแก่คนนี้สักทีว่า .. แกเป็นคน หรือ ว่าแกเป็นผี กันแน่ !!!…

ครู พราหมณ์เมศ วาสุเทพ ปรึกษาดวงชะตา รับวางเบอร์มงคลตามดวงชะตากำเนิด เปิดสอนโหราศาสตร์เลขศาสตร์และพยากรณ์ศาสตร์
อ.พราหมณ์เมศ วาสุเทพ

…..( เรื่องผีที่คุ้มจ้าหลวงฯ ยังไม่จบ .. ชีวิตของผมในช่วงหนึ่งที่ต้องผจญอยู่กับเรื่องผีๆในเชียงใหม่ ยังมีอีกนะครับ…)

Link: ผีคุ้มเจ้าหลวง ตอนที่ 12

Link : ผีคุ้มเจ้าหลวง ตอนที่ 14

10 responses to “ผีคุ้มเจ้าหลวง ตอนที่ 13”

  1. รอตอน14 และตอนต่อๆไปอย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ

  2. ขอบคุณ จะรอต่อไป

    1. ขอบคุณมากค่า

  3. ตอนต่อไปใกล้แล้วยังคะ

    1. รอ อ. อยู่จ้า

  4. สนุก ตื่นเต้น ลุ้นระทึกมากคัฟ

    1. ขอบคุณมากค่าา

  5. ชอบมากๆ สนุก ติดตามอยู่ตลอดค่ะ เมื่อไหร่ตอน 14 จะมาสักทีหนออออ มี FC ตรงนี้รอๆๆๆค่า

    1. รอ อ. อยู่ค่าาา

  6. เฝ้ารอเมื่อไหร่ตอนที่ 14 จะมาค่ะ ยิ่งอ่าน ยิ่งสนุก ย้อนกลับไปอ่านตั้งแต่ตอนแรกซ้ำอีก

Leave a Reply to NixyCancel reply

Discover more from The Experience in someday

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading