. . . จั๊ ก แ ฮ ง ๆ ส ะ ต๊ ก เ ล ย . . . เ อ า ตี๋ น ยั น ตี้ ห น้ า อ๋ ก . . .
. . . แ ล้ ว จั๊ ก มั น อ อ ก ม า แ ฮ ง ๆ เ ล ย !! “. . .
….แล้วใครล่ะ จะกล้าเข้าไปดึงผ้าปิศาจผืนนั้น ออกจากปากลุงจุก…!!?….
….ผมรู้สึกขยักแขยงกับเศษผ้าที่คาอยู่ในปากของลุงจุกอย่างมาก และที่สำคัญผมไม่รู้ว่ามันคืออะไร
สัญชาตญาณของผมมันรับรู้ได้ว่า หากเราไปสัมผัสมันแล้ว อาจจะต้องเกิดอันตรายขึ้นกับเราได้
ทันใดนั้นผมก็หันไปเห็นถุงก็อบแก๊บใบหนึ่งที่มีปาท่องโก๋ค้างอยู่ข้างในสองสามคู่ วางอยู่บนโต๊ะ
ผมไม่รอช้า ผมรีบคว้าถุงใบนั้นขึ้นมา รีบจัดการเทปาท่องโก๋ที่เหลืออยู่ข้างในทิ้งออกไปทันที
แล้วนำเอาถุงใบนั้นไปส่งให้ไอ้เจ้ามิตร ที่กำลังนั่งคร่อมหน้าแข้งลุงจุกอยู่อย่างด่วนจี๋
….ผมยื่นถุงก็อบแก๊บให้ไอ้เจ้ามิตร มองหน้ามันแล้วสะบัดหน้าไปทางลุงจุก เพื่อเป็นการส่งภาษากาย ให้ไอ้เจ้ามิตรมันรู้ว่า
…ช่วยจัดการกับไอ้สิ่งที่คาอยู่ในปากลุงจุกออกที…แต่ไอ้มิตรมันก็ส่ายหัวไปมา เพื่อจะส่งภาษากายตอบกลับมายังผมว่า…ผมไม่ช่วยจัดการจะได้มั้ย
ทีนี้เรื่องมันก็เลยพลิกสิครับ ในเมื่อผมเองก็ยืนอยู่ตรงนั้น ถุงก็อบแก๊บก็อยู่ในมือแล้ว ผมจึงตั้งคำถามให้กับตัวเองว่า แล้วทำไมเราถึงไม่จัดการกับเรื่องนี้ซะเองล่ะ…?
….ว่าแล้ว ผมก็สวมถุงก็อบแก๊บใบนั้นเข้าที่มือขวา แล้วลองขยับๆมือดู เออ มันก็พอจะแทนถุงมือได้อยู่นะ จากนั้นผมก็จัดการยื่นมือเข้าไปหยิบผ้าปิศาจชิ้นนั้น ดึงออกจากปากลุงจุก ด้วยท่วงท่าอาการที่แสดงถึงความขยักแขยงอย่างแรง
….พอนิ้วมือของผมสัมผัสถูกเจ้าเศษผ้าปิศาจชิ้นนั้น ผมก็รีบใช้นิ้วมือบีบมันไว้จนแน่นก่อนที่จะออกแรงดึงมันออกมา แต่ผมรู้สึกว่าเศษผ้าชิ้นนั้นมันมีอาการแปลกๆ ช่วงกลางระหว่างนิ้วมือทั้งสองของผม ที่บีบเจ้าผ้าปิศาจอยู่นั้น ปรากฎว่าเจ้าผ้าชิ้นนั้นมันกลับเต้นตุบๆ เป็นจังหวะหัวใจ เหมือนราวกับว่ามันมีชีวิต ยิ่งผมบีบมันแรงเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเต้นแรงขึ้นตามแรงบีบ .. และยิ่งผมออกแรงดึงให้มันออกจากปากลุงจุก มันก็ยิ่งถอยตัวกลับไป…ผมนึกในใจ .. มันเป็นผ้าลงอาคม หรือว่าตัวเอเลี่ยนกันแน่ว่ะเนี้ย ?..
….เมื่อสล่าอนันต์ เห็นผมเข้ามาช่วยดึงเศษผ้าปิศาจ แกก็บอกให้ผมรีบดึงเศษผ้าชิ้นนี้ให้ออกจากปากลุงจุกโดยเร็ว..” จั๊กแฮงๆ จั๊กแฮงๆ สะต๊กเลย สะต๊กเลย เอาตี๋นยันตี้หน้าอ๋ก แล้วจั๊กมันออกมาแฮงๆ เลย !! “…
….พอผมได้ยินสล่าอนันต์ พูดออกมาด้วยเสียงที่ดัง และจริงจังมากๆ อย่างนี้ ใจผมมันก็หลุดออกจากความกลัว หลุดออกจากความขยักแขยง สถานการณ์ตอนนี้มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกมีแรงกดดันกับภารกิจเย่อกับผี
นี้มากขึ้นเป็นทวีคูณ ถุงก็อบแก๊บมันก็ลื่น ยิ่งเคยใส่ปาท่องโก๋น้ำมันเยิ้มๆ มาด้วย มันยิ่งลื่นหนักเข้าไปอีก
ผมเลยต้องตัดสินใจเอามือออกจากถุงก็อบแก๊บ แล้วใช้มือเปล่าๆทั้งสองข้างเข้ารุมดึงไอ้เศษผ้าปิศาจนี้อย่างสุดตัว…
….สล่าอนันต์ ยังคงบีบขมับลุงจุกไว้แน่น พร้อมกับดึงหัวให้ถอยไปด้านหลังเพื่อช่วยให้ผมได้ดึงเศษผ้าได้ง่ายขึ้น แต่ยิ่งออกแรงดึง ก็เหมือนมันยิ่งจะถอยกลับลงไปในลำคอของลุงจุก ผมจึงเบี่ยงตัวให้อยู่ในแนวตรงกับช่องปากของลุงจุกเพื่อเพิ่มความถนัดในการดึง เจ้ามิตรมันอยู่ด้านหลังของผมพอดี เจ้ามิตรมันจึงยื่นมือเข้ามาประกบกับมือผมผนึกกำลังช่วยกันออกแรงดึง ทีนี้ผมเลยสอดขาขึ้นมา เอาเท้ายันหน้าอกลุงจุก ตามที่สล่าอนันต์แนะนำ .. เรียกได้ว่า..ปลุกปล้ำกันอย่างสุดแรงเกิด..
….ได้ผลครับ ปรากฎว่าเจ้าเศษผ้าปิศาจชิ้นนั้นมันค่อยๆเคลื่อนออกจากปากลุงจุก ตามแรงดึงของผมกับเจ้ามิตร….พอเศษผ้าปิศาจมันเริ่มเคลื่อนออกมา สล่าอนันต์ก็ยิ่งพร่ำสวดด้วยเสียงที่ดังขึ้น สปีดในการสวดก็ยิ่งเร่งให้เร็วขึ้น
…คุณพระช่วย !!…ผมกับไอ้มิตรออกแรงดึงกันจนสุดตัว มันก็ไม่มีท่าทีที่จะออกมาได้ง่ายๆ แต่พอถึงบทมันจะออกมันก็ออกมาซะง่ายๆ จนทำให้ผมกับไอ้มิตรที่ออกแรงดึงอยู่ต้องเสียหลักหงายหลังล้มไปไม่เป็นท่า
มันไม่ใช่เศษผ้าอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก แต่มันกลายเป็นผ้าผืนยาวที่มัดเป็นเกลียวยาวราวหนึ่งเมตรเห็นจะได้และก็ไม่ใช่แค่เกลียวผ้าปิศาจกลิ่นเหม็นๆ เลอะไปด้วยสิ่งปฎิกูลที่หลุดออกมาจากปากลุงจุกเท่านั้น
แต่มันกับมีน้ำมูกน้ำเมือกน้ำเหลืองน้ำหนองปนคาวเลือด พุ่งกระเด็นตามออกมาด้วย
….ทุกคนที่นัวๆ อยู่รอบๆ ตัวลุงจุก ต่างก็โดนน้ำสกปรกกระเด็นใส่จนเนื้อตัวเลอะเทอะเปรอะเปื้อนกันไปถ้วนหน้า พอผมได้สติผมก็โยนผ้าปิศาจที่บิดเป็นเกลียวรูปร่างคล้ายงู ทิ้งลงพื้นไปทันทีด้วยความหวาดกลัว…
….คุณโจ้รีบวิ่งตรงเข้ามาหาผม แล้วบอกกับผมว่า..
..”อาจารย์รีบไปอาบน้ำล้างตัวเลยนะ เสื้อผ้าก็ทิ้งไปเลยเดี๋ยวเอาเสื้อผ้าผมใส่ไปก่อน รีบๆ เลยครับ”
..ผมก็เลยรีบวิ่งไปเข้าห้องอาบน้ำที่อยู่ด้านหลังคุ้ม โดยไม่สนใจใคร… สักพักคุณโจ้ก็นำเสื้อผ้าของคุณโจ้ที่อยู่ในท้ายรถมาให้ผมใส่ไปก่อน ถึงแม้นว่าจะดูหลวมโคกเครกไปซะหน่อย ก็ยังจะดีกว่าใส่เสื้อผ้าที่เลอะสำรอกผีเยอะเลย .. นึกถึงทีไรก็ยังรู้สึกขยักแขยงอยู่จนถึงทุกวันนี้เลยครับ
….พออาบน้ำเสร็จ ผมก็รีบเดินออกมาดูสถานการณ์ด้านนอก ผมเดินผ่านมาทางด้านข้างของคุ้ม ก็เห็นไอ้เจ้ามิตรนั่งล้างตัวอยู่ตรงก๊อกสนาม มันก็บ่นพรึมพร่ำๆ ว่า ..”อ้ายโจ้ นะอ้ายโจ้ ฮ้องฮื่อเฮามายะหยัง บ่าฮู้ฮากผี ฮากห่าอันได๋ เฮามันซวยแต้ๆก้า”..
ผมยังนึกในใจเลยว่า นี่ขนาดมันอยู่ข้างหลังผมนะเนี้ย มันยังบ่นไม่หยุดปากแล้วถ้ามันโดนเข้าไปเต็มๆ อย่างผมเข้า มันคงรีบไปหาหลวงพ่อช่วยอาบน้ำมนต์ให้เลยมั้ง
…ผมรีบเดินกลับมายังห้องโถ่งชั้นล่าง แต่ก็ต้องมาหยุดอยู่ตรงกลางสนามด้านหน้าคุ้มซะก่อน
ผมเห็นสล่าอนันต์กำลังยืนเผาผ้าปิศาจอยู่ โดยการที่แกนำผ้าปิศาจชิ้นนั้นคล้องไว้ที่ไม้เท้าของแก แล้วค่อยๆหย่อนชิ้นผ้าลงในกระป๋องสังกะสี ที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่ ในขณะที่แกเผาไป แกก็ท่องคาถาอะไรของแกไปพร้อมๆ กันไปด้วย…
…สล่าอนันต์ ไล่คนที่ยืนอยู่ใต้ลมให้ออกไป อย่าให้ควันไฟที่เผาผ้าปิศาจผืนนั้นโดนตัว เพราะอาจจะได้รับสิ่งชั่วร้ายได้ ฝ่ายลุงจุกก็ยังนอนร้องคราง ฮือฮือ…อยู่บนแคร่ ที่เนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยน้ำปฎิกูลปนคาวเลือด กับสายตาของผู้คนหลายคนที่อยู่ตรงนั้นด้วยความสมเพชเวทนา ..
….หลังจากที่สล่าอนันต์ได้เผาทำลายผ้าปิศาจผืนนั้นเสร็จ แกก็เดินเข้ามาตรวจดูอาการของลุงจุก เจ้ามิตรก็ทำหน้าที่เช็ดเนื้อเช็ดตัวลุงจุก ด้วยความไม่เต็มใจ…พักเดียว ลุงจุกก็มีอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมา เหวี่ยงแขนเหวี่ยงขา จนขันน้ำที่เจ้ามิตรนำมาเช็ดตัวให้กระเด็นกระดอนไป พวกเราก็เลยช่วยกันเอาผ้าขาวม้ามามัดลุงจุกแกไว้ก่อน..
….สล่าอนันต์ บอกกับพวกเราว่า .. ลุงจุกได้เสียสติไปแล้วอาการและลักษณะคุณไสยที่เจออย่างนี้สล่าอนันต์เล่าให้ฟังต่อว่า เคยพบคนที่โดนคุณไสยอย่างนี้ที่แม่ตะมาน เมื่อราวๆ ต้นปีที่แล้ว เป็นฝีมือของหมอผีชาวกระเหรี่ยงคนหนึ่ง ซึ่งเงินเพียงพันสองพันบาทก็สามารถว่าจ้างให้หมอผีคนนี้ทำคุณไสยใส่คนได้แล้ว..
….เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงก็เลยบอกให้ยัยแป๋วช่วยติดต่อญาติลุงจุกที่สิงห์บุรีมารับตัวลุงจุกกลับไปดูแล และในระหว่างนี้ก็จะนำตัวลุงจุกไปฝากทำการรักษาอยู่ที่โรงบาลสวนปรุงไปก่อน คุณโจ้ก็ได้เอ่ยขึ้นมาในขณะนั้นว่า แล้วถ้าติดต่อญาติของลุงจุกไม่ได้ หรือว่าติดต่อแล้วญาติเค้าปฎิเสธ ทางเราจะดำเนินการอย่างไรต่อ…
ทางพ่อเลี้ยงก็ว่าเรื่องนั้นค่อยว่ากันภายหลัง ตอนนี้ก็พาตัวแกไปไว้ที่โรงพยาบาลก่อนแล้วกัน…
….ผ่านไปราวสองสัปดาห์ ทางเราก็ยังไม่สามารถติดต่อญาติของลุงจุกได้ ลุงจุกก็เลยต้องพักรักษาตัว
อยู่ที่โรงพยาบาลสวนปรุงไปก่อน เรื่องค่าใช้จ่ายอะไรต่างๆ ทางพ่อเลี้ยงแกก็ดูแลไปเรื่อยๆก่อน
…..แล้วเรื่องของลุงจุกก็จบลงแบบไม่สวยเท่าไหร่ ยังมีเรื่องค้างคาใจอยู่บ้างนั้นก็คงเป็นเพราะโชคชะตา
ที่มากลั่นแกล้งให้แกต้องมาเสียสติเอาตอนแก่เฒ่า อยู่อย่างไร้ญาติขาดมิตร…จะว่าไปก็ยังดีที่มีพ่อเลี้ยงให้ความเมตตาคอยส่งเสียดูแลอยู่
….แต่ผมกับคุณโจ้นี่ซิ ไม่รู้ว่าเวรกรรมอะไรหนักหนาที่ทำให้ต้องมารับภารกิจสำคัญอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งจะว่าเป็นเรื่องเล็กมันก็เล็ก .. จะว่าเป็นเรื่องใหญ่มันก็ใหญ่…
….ภารกิจที่ว่านี้ก็คือ การไปเก็บค่าเช่าจากชาวนาที่เช่าที่ดินทำนา หรือจะเรียกกันง่ายๆ ว่า…ไปเก็บค่าเช่านาก็ได้ครับ ที่ดินที่ให้เช่านี้ก็มีอยู่หลายแปลงกระจัดกระจายอยู่ทั่วเชียงใหม่ ที่นาที่เป็นสมบัติของบริษัทนี่
แทบทุกแปลงก็คือที่ดินที่ชาวบ้านนำมาขายฝาก แล้วก็หลุดถูกยึดมา.. สุดท้ายเจ้าของที่นาเดิม ก็ต้องมาเช่าที่ดินที่เคยเป็นของตัวเองทำกิน โดยมากก็จะตั้งอยู่ในอำเภอสันป่าตองซะส่วนใหญ่…
….”ปกติแล้วไอ้หน้าที่ตะเวนเก็บค่าเช่านานี่ มันเป็นหน้าที่ของพวกเด็กในออฟฟิศไม่ใช่หรอกเหรอครับคุณโจ้
แล้วทำไม เรื่องนี้มันถึงต้องตกมาเป็นหน้าที่ของเราสองคนด้วยล่ะ ? ”
…ผมเปรยขึ้นมาในขณะที่นั่งรถไปเก็บค่าเช่านากับคุณโจ้ คุณโจ้แกก็ขับรถไปอีกมือนึงก็ล้วงลงไปควานหาแผ่นซีดีเพลงที่หมกๆ อยู่ในคอนโซลด้านข้าง….แล้วคุณโจ้ก็ค่อยๆ เล่าถึงรายละเอียดในสาเหตุที่ทำไมเราสองคนถึงต้องมาทำภารกิจนี้ให้ผมได้ฟัง ซึ่งจับใจความได้ว่า….
….เมื่อหลายเดือนก่อน เจ้าหน้าที่ของบริษัทก็ไปเก็บค่าเช่าตามปกติของรอบบิล แต่ปรากฎว่าชาวบ้านที่เช่านาของเรากลับแสดงใบเสร็จรับเงินว่า ได้จ่ายค่าเช่านาเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ยังแสดงสำเนาเอกสารที่แสดงว่า ที่ดินแปลงที่เช่านี้ได้ถูกเปลี่ยนมือจากบริษัทเราไปแล้ว…ทีนี้ เราสองคนก็เลยต้องไปตามล่าหาความจริงกัน…ว่าใครกันที่กล้ามาสวมรอยไงครับอาจารย์..
….”คุณโจ้ครับ ค่าเช่านาเนี้ยแพงมั้ยครับ เดือนละเท่าไหร่ ?” ผมเอ่ยถามคุณโจ้ด้วยความไม่รู้ ..
“ไร่หนึ่งก็ ห้าร้อยบาทต่อปี อ่ะครับอาจารย์ หรือไม่ก็แบ่งข้าวเปลือกกัน”…คุณโจ้ตอบกลับผม
…”ห๊า !!? แค่ห้าร้อยบาทต่อปีเนี้ยอ่ะนะ” ผมไม่คุ้นกับอัตราค่าเช่านา คุณโจ้ก็ตอบกลับมาว่า
…”แค่นี้เค้ายังไม่ค่อยอยากจะจ่าย เค้ายังบ่นว่าแพงกันเลยครับ”…
…จริงๆ แล้วพ่อเลี้ยงกับคุณโจ้ก็รู้แล้วว่าเป็นการกระทำของญาติตัวเองนั้นแหละ เรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องของการฉ้อโกง หรือการแสวงหาผลประโยชน์ทางการเงินใดๆ มันกลับเป็นเรื่องที่ญาติๆของเค้ากันเอง ที่มีข้อขัดแย้งกันในเรื่องมรดก จึงตั้งใจมาตัดหน้าเก็บค่าเช่าเผื่อมาตีรวนต่างหาก เป็นเรื่องที่ไล่ฟ้องกันมาเป็นปีๆ ฟ้องกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ รุ่นพ่อ ยันมาถึงรุ่นหลาน… ผมฟังคุณโจ้เล่าแล้วผมก็ปวดหัว…
….เอาเป็นว่า เราสองคนกำลังจะไปจัดการเรื่องนี้ให้มันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ก็แล้วกัน…
….เราสองคนมุ่งหน้าตรงไปสู่ ตำบลทุ่งสะโตก อำเภอสันป่าตอง..
เวลาผมไปไหน ผมชอบเปิดดูแผนที่ตามไป ( สมัยนั้นยังไม่มี App GPS Map นำทางนะครับ )..
ผมคลี่สมุดแผนที่ เฉพาะอำเภอสันป่าตองที่ซื้อมาจากร้านขายของนักท่องเที่ยวในตึกสุรวงศ์ออกดู ผมก็ใช้นิ้วไล่ตามทางที่เราขับรถไป
.. คุณโจ้ก็ชวนคุยเรื่องลุงจุกอีกครั้ง….”อาจารย์ครับ ผมนึกขึ้นมาว่า ถ้าอีหล้ามันให้คนแอบปีนเข้ามา
ขโมยสมุดบัญชีเงินฝากของลุงจุกในคุ้ม แล้วทำไมมันไม่โดนผีหลอก แล้วทำไมผีถึงมาหลอกแต่พวกเรา”…
….ผมก็ตอบกลับไปว่า… ” อาจารย์ว่านะ บางทีผีในคุ้มฯ ก็ต้องการให้ลุงจุกได้รับวิบากกรรม หมดตัว เสียสติ
อย่างที่แม่อุ้ยร่างทรงได้เตือนไว้ ว่าเราทุกคนจะต้องพบกับเรื่องอาถรรพ์”..
…คุณโจ้ หันมามองหน้าผม ในขณะที่ยังขับรถอยู่ด้วยสีหน้าที่ซ่อนความกังวลไว้ แล้วถามผมขึ้นมาอีกว่า
…”แล้วอาจารย์ว่า เราจะโดนกันมั้ย ?”… ผมเลยตอบกลับไปแบบสั้นๆว่า…”ไม่รู้”..แล้วผมก็นั่งดูแผนที่ของผมต่อไป
….จนรถวิ่งเข้ามาในถนนเส้นเล็กๆ ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในตำบลทุ่งสะโตก อคุณโจ้จอดรถที่บ้านหลังหนึ่ง หยิบกระดาษแผ่นเล็กๆ ออกจากกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตที่สวมทับอยู่ ทำท่าเหมือนดูบ้านเลขที่…
….”ป๊ะ อาจารย์บ้านหลังนี้แหละ ช่วยลงไปเป็นเพื่อนผมหน่อย”… คุณโจ้ลงรถไปพร้อมกับกระเป๋าเอกสารคู่ใจของแก
…” สวัสดีครับ มีใครอยู่มั้ยครับ พ่ออุ๊ย แม่อุ๊ย”…คุณโจ้ตะโกนเรียกคนที่อยู่ในบ้าน สักพักก็มีชายวัยกลางคนเดินออกมา
…”มีได๋กันล่ะอ้าย ?”.. ชายวัยกลางคนตอบกลับ คุณโจ้ก็เดินตรงเข้าไปนั่งที่แคร่ใกล้กับหลองข้าว ( ยุ้งเก็บข้าวทางเหนือ ) คุณโจ้แนะนำตัวเองให้ชายวัยกลางคนได้รู้จัก และค่อยๆ เจรจาถึงเรื่องความผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการเก็บค่าเช่านาด้วยท่าทีที่เป็นมิตรและอ่อนน้อมถ่อมตน ผมก็เดินตามเข้าไปนั่งข้างๆ คุณโจ้ งานนี้ขอนั่งฟังเฉยๆ ไม่ขอเสนอความคิดเห็นใดใด
…. สักพักก็มีผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่งกับเด็กวัยรุ่นอีกสองคนเดินออกมาจากบ้านด้านใน คุณโจ้พยายามที่จะอธิบายถึงกลโกงของคนที่ตัดหน้าสวมรอยมาเก็บค่าเช่า ว่าเอกสารที่มาแสดงนั้นเป็นเอกสารปลอมแต่ดูท่าทางชาวบ้านพวกนั้นจะไม่ยอมเข้าใจ ไม่รับรู้อะไรพูดแต่ว่าพวกตนเสียค่าเช่าไปแล้ว จะไม่ยอมเสียค่าเช่าอีก…
ผมคาดการณ์ได้เลยว่า ฝ่ายที่สวมรอยมาเก็บค่าเช่านั้น คงวางแผนสอนไม่ให้พวกชาวบ้านเชื่อและรับฟังฝ่ายเรา หากวันใดที่เราเข้ามาพูดอะไร … แน่ๆเลย…
….คุณโจ้ก็พยายามอธิบายว่า ทางเราไม่ได้จะมาเก็บค่าเช่าทับซ้อนอีก แค่ต้องการขอดูหัวใบเสร็จรับเงินที่ฝ่ายนั้นออกให้ และชี้แจงทำความเข้าใจแต่แล้วชาวบ้านกลับเอะอะโวยวาย…ยังมองว่าเราจะมาเก็บค่าเช่าอยู่อีก ทำไมชาวบ้านพวกนี้เข้าใจอะไรยากแท้…
…ผมหันไปเห็นเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งท่าทางไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ มานั่งลับมีดอยู่แถวที่เราคุยอยู่กับชาวบ้าน…
….ผมนึกในใจ …ไอ้ห่าเอ๊ย มานั่งลับมีดอยู่ได้ คนกำลังคุยกัน มันใช่เวลามั้ยนั้น…พอชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืน แล้วพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังลั่นว่า “เฮาบ่าจ่าย เป็นจ๊ะได๋เฮาก็บ่าจ่าย”..เท่านั้นแหละ ไอ้เด็กวัยรุ่นที่มันนั่งลับมีดอยู่ มันก็ยืนขึ้นในมือของมันก็ถือมีดเล่มยาวสักหนึ่งฟุตเห็นจะได้ ยืนยักไหล่ ทำท่าเหมือนว่าพร้อมที่จะเข้ามาฟันเราได้ทุกเมื่อ
…ส่วนเด็กวัยรุ่นอีกคนมันก็เดินเข้าไปหยิบเสียมด้ามยาว ออกมาจากใต้ถุนหลองข้าว
….ผมเห็นท่าไม่ดี ผมจึงเอามือเอื้อมไปแตะแนวเข็มขัดด้านหลัง วันนั้นผมใส่เสื้อปล่อยชายออกนอกกางเกง
ผมทำท่าเหมือนมีปืนพกสั้นอยู่ด้านหลัง แต่จริงๆ มันคือโทรศัพท์มือถือโมโตโรล่ารุ่นเก่าที่มีปลอกหุ้ม
พลาสติคสีดำ มีคลิปล็อคที่เข็มขัด มองให้เป็นปืนพกสั้นมันก็พอหลอกตาได้อยู่
….คุณโจ้ก็รับมุก รีบลุกขึ้นยืนแล้วล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ต ให้เห็นว่ามีอะไรตุงๆ อยู่ในเสื้อ
..เราทั้งคู่ก็ค่อยๆเดินถอยหลังอย่างช้าๆกลับไปที่รถ…ไอ้เจ้าเด็กวัยรุ่นที่มีอาวุธครบมือ มันก็เดินตรงเข้ามาหาเราสองคน
….ผมคิดอยู่ในใจว่า…วันนี้เราอาจจะยังไม่ถึงตาย แต่ถ้าโชคร้ายเราก็คงบาดเจ็บสาหัส…

…..เรื่อง ผีที่คุ้มเจ้าหลวงยังไม่จบ…ผมกับคุณโจ้จะรับเคราะห์หนักขนาดไหน
…หรือ มันจะเป็นเรื่องร้ายอย่างที่แม่อุ้ยร่างทรง บอกไว้
…โปรดติดตามตอนต่อไป
Leave a Reply