. . . มึ ง รั บ ป า ก กั บ กู ไ ด้ มั้ ย . . .
. . . ถ้ า มึ ง รั บ ป า ก กั บ กู ว่ า มึ ง ทํ า ไ ด้ .
. . . กู ก็ จ ะ ใ ห้ มึ ง . . .
….ผมจึงหันไปถามพ่อและแม่ของเด็กน้อยว่า…”เรื่องราวมันเป็นอย่างไงมาอย่างไงครับ แล้วจะให้ผมเรียกคุณอย่างไรดีครับ”
ผู้ที่เป็นพ่อได้ตอบว่า “เรียกผมว่าวิเชียรก็ได้ครับ ส่วนภรรยาผมชื่อจุ๋มครับ จริงๆ เรื่องมันนานมากแล้วล่ะครับ เรื่องก็มีอยู่ว่า”
….เมื่อย้อนกลับไปเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2534 ผมและภรรยา ได้เดินทางขึ้นมาที่เชียงใหม่ เนื่องจากช่วงนั้นผมต้องมาสัมมนางานวิชาการที่เชียงใหม่ ปกติผมรับราชการอยูที่กรุงเทพ ตอนนั้นภรรยาหยุดงานพอดีจึงได้ชวนมาด้วยกัน ตอนที่มาถึงเชียงใหม่ก็ได้ตระเวนเที่ยวไปรอบๆ จนได้ผ่านบริเวณประตูท่าช้างเผือก จู่ๆ แฟนผมก็นึกไปถึงตอนแรกๆ ที่ได้คบกันจนกระทั่งมาถึงตอนนี้ แต่ทำไมยังไม่มีลูกสักที อาจจะเป็นเพราะความผิดปกติของรังไข่หรือเปล่าก็ยังไม่แน่ชัด
….จึงได้ลองอธิฐานขอสิ่งศักดิ์สิทธิในเมืองเชียงใหม่ดูเผื่อจะมีบุญร่วมกัน แต่เธอก็ไม่ได้บอกผม…
….วันต่อมา ผมก็ได้พากันเดินทางไปสักการะอนุเสาวรีย์สามกษัตรย์ แล้วก็เดินต่อไปทางแยกกลางเวียง
จนถึงศาลหลักเมืองเชียงใหม่จึงได้กราบสักการะและขอพรที่ศาลหลักเมือง จากนั้นก็เดินทางต่อไปยังวัดพระสิงห์….
แล้วอยู่ๆ คุณจุ๋มก็ได้เกิดความรู้สืกแปลกๆ เมื่อได้เดินผ่านบ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งที่อยู่ในบริเวณนั้น ในความรู้สึกนั้นมันเหมือนกับว่า เธอเองได้เคยอยู่ตรงนี้ ทั้งภาพที่เธอเห็นทั้งบรรยากาศที่อยู่รอบๆ ตัวเธอ
ทำให้เธอมีความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ มันช่างคุ้นเคยกับเธอมากๆ แต่เธอก็ไม่ได้บอกอะไรกับผมเหมือนเดิม
….แล้วหลังจากที่กลับจากการสัมมนาที่เชียงใหม่กันแล้ว ผ่านไปประมาณหนึ่งสัปดาห์ ในคืนหนึ่งนั้น คุณจุ๋ม
ก็ได้เข้านอนหลังจากที่ไหว้พระสวดมนต์เสร็จ ในขณะที่อยู่ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้นเอง….
….คุณจุ๋มก็เห็นร่างของผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง มายืนตัวตรงอยู่บนหัวเตียงประมาณว่าเท้าของผู้หญิงคนนั้นเหยียบอยู่บนหมอนที่คุณจุ๋มนอนอยู่ แล้วก้มแค่หน้าลงมามองหน้าคุณจุ๋มด้วยสายตาที่ขมึงตึงน่ากลัวมาก คุณจุ๋มพยายามจะขยับตัว แต่ก็ขยับตัวไม่ได้เลย จะว่าเป็นความฝันมันก็ไม่เหมือนความฝัน จะว่าเรื่องจริงมันก็ไม่เชิง
…แต่เธอเล่าให้ฟังว่า มันก็มีความรู้สึกที่มีความเสมือนจริงอยู่มากๆ สามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่เส้นผมของผู้หญิงคนนั้นที่ปล่อยยาวลงมาจนละหน้าละตาได้เลย แล้วผู้หญิงคนนั้นก็พูดว่า..
“กูจะให้ลูกกับมึง แต่มึงห้ามให้เด็กคนนี้กลับมาเหยียบแผ่นดินเชียงใหม่ จนกว่าอายุของมันจะครบสิบแปดปี มึงรับปากกับกูได้มั้ย ถ้ามึงรับปากกับกูว่ามึงทำได้ กูก็จะให้ลูกกับมึง “.. พอสิ้นคำของหญิงผู้นั้น คุณจุ๋มก็รับปากว่า ..” ได้ค่ะ”
….แล้วเรื่องปาฏิหารย์ก็บังเกิดขึ้นจริงๆ..อีกไม่นานเมียผมตั้งท้องเลยครับ !! มันเป็นข่าวดีที่สุดที่ผมรอคอยมาตลอดสามปี…
…แต่อุ้มท้องอยู่ได้ราว 7 เดือน น้ำก็เดิน จึงต้องรีบคลอด ด้วยความที่คลอดก่อนกำหนดลูกสาวที่เกิดใหม่ของผมจึงต้องจึงต้องอยู่ในตู้อบเกือบสองสัปดาห์ แต่ลูกสาวผมก็มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี และดูจะแข็งแรงกว่าเด็กอื่นๆ ซะอีกด้วย…
…แต่ผมก็ไม่เคยรู้เรื่องที่คุณจุ๋มขอลูกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ และที่จริงตอนที่เธอเล่าความฝันเธอก็เล่าไม่หมด อาจจะเพราะกลัวผมจะเป็นห่วงหรือไม่ก็กลัวผมไม่เชื่อ ผมจึงได้มารู้ตอนหลังแล้ว ซึ่งก็ได้เกิดเหตุการณ์แปลกๆ กับลูกผมคงอาจเป็นเพราะผมพาลูกกลับมาเชียงใหม่ก่อนอายุ 18 ปี ก็ได้นะครับ…คุณวิเชียรได้กล่าวทิ้งท้ายไว้
….คือ ก่อนหน้าที่ผมกับคุณโจ้จะมาพบกับครอบครัวนี้พ่อแม่ ก็ตรงกับช่วงเวลาปิดเทอมพอดี คุณวิเชียรจึงได้ลาพักร้อน เพื่อพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อน และถือโอกาสเดียวกันนี้ มาเยี่ยมผู้ใหญ่ที่ตนเคารพนับถือที่เชียงราย ขากลับก็แวะลงมาเที่ยวและพักอยู่ที่เชียงใหม่สักสองสามวัน ตามแผนที่วางไว้ พอมาถึงเมืองเชียงใหม่ ทั้งสามคนก็เข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านตลาดอนุสาร คืนแรกที่นอนพักอยู่นั้น ตอนราวๆ เที่ยงคืนอยู่ๆ ลูกสาวคุณวิเชียรก็มีไข้ตัวร้อนจี๋ พูดเพ้ออะไรไม่เป็นภาษา ทั้งคู่จึงรีบนำลูกสาวมาดูอาการที่โรงพยาบาลมหาราช
….แล้วคืนนั้นเองที่คุณจุ๋มได้ยอมเปิดปากเล่าถึงเรื่องที่ตนเองได้อธิษฐานขอลูกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเมืองเชียงใหม่เมื่อสิบปีก่อน และได้รับปากกับผู้หญิงในฝันว่าจะไม่พาลูกสาวมาเหยียบเชียงใหม่ ก่อนอายุ 18 ปี ให้คุณวิเชียรได้รับทราบ…
…เมื่อลูกสาวคุณวิเชียรได้รับการรักษาก็มีอาการดีขึ้น แพทย์จึงมีความเห็นให้กลับบ้านได้ จากนั้นทั้งสามก็ไปรอรับยาที่ห้องจ่ายยา เมื่อรับยาเสร็จพร้อมจะกลับออกจากโรงพยาบาล เด็กก็กลับพูดเพ้ออยู่แต่คำว่า…
..”หนูจะกลับไปที่คุ้มกลางเวียง” ไม่ขาดปาก จนได้มาพบกับผมกับคุณโจ้ ณ เวลานี้นี่แหละครับ…
….ในระหว่างทางที่เราทั้งห้าคนได้ฝ่าการจราจรที่ติดขัดมากๆ ตั้งแต่หันหัวออกจากจากโรงพยาบาลมุ่งหน้าตรงไปยังคุ้มนั้น ผมกับคุณโจ้ก็ได้รับฟังเรื่องราวในอดีตของครอบครัวนี้ จนพอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้าง ส่วนตัวผมเองก็คิดว่า อาการประหลาดที่เกิดขึ้นกับสาวน้อยคนนี้ ก็คงต้องเกิดจากที่คุณจุ๋มผิดคำกับหญิงลึกลับที่ให้ลูกกับแกแน่ๆ เลย…
….สักพักเราก็มาหยุดรถที่หน้าประตูคุ้ม ผมหันไปพูดกับเด็กน้อยว่า “ที่นี่ใช่มั้ยจ๊ะ ที่หนูอยากมา” ..
…แล้วเธอก็ทำตาขวางและก็พยักหน้าช้าๆ มาทางผม ส่วนคุณจุ๋มก็พยายามสอดสายตามองผ่านช่องหน้าต่างรถออกไป แบบกล้าๆ กลัวๆ ผมจึงรีบลงไปเปิดประตูรถ แล้วค่อยๆ พยุงเด็กน้อยลงมาอย่างช้าๆ
พอเท้าของเด็กน้อยได้แตะสัมผัสกับพื้นถนนหน้าคุ้มเท่านั้นแหละครับท่าน เด็กน้อยคนนี้ก็เปลี่ยนอาการไปจากเดิมจนผมเองก็ต้องประหลาดใจ เพราะเมื่อตอนอยู่บนรถ ยังดูสะเงาะสะแงะ ยกแขนชี้นิ้ว พูดเพ้ออยู่แต่คำซ้ำๆ…
….แต่ตอนนี้ดันดูกระปี้กระเป่า สีหน้าดูเหมือนเด็กปกติ มีรอยยิ้มที่ดูร่าเริง อย่างกะไม่เคยป่วยมาก่อนสะงั้น เท่านั้นยังไม่พอ ยังสะบัดตัวออกจากมือของผมที่ประคองอยู่ วิ่งตัวปลิวไปเลย คุณจุ๋มร้องเสียงดังลั่นด้วยความตกใจ เมื่อเห็นลูกน้อยของตนวิ่งพรวดออกไปจากผม…
เด็กน้อยเดินจ้ำตรงไปยังประตูคุ้ม แล้วเธอก็เอาตัวของเธอทั้งตัวโถมแรงเข้าดันประตูรั้วบานใหญ่ที่ไม่ได้ใส่กุญแจ จนบานประตูเปิดออก….
….พอเธอเดินเข้าไปในเขตคุ้มได้ เธอก็เลี้ยวซ้ายตรงไปยังต้นพุทรายักษ์ ส่วนผมรีบวิ่งตามเข้าไป เห็นเธอหยุดยืนทิ้งระยะห่างจากโคนต้นพุทราร้อยปีนั้นราวๆ สักสี่ห้าเมตร แล้วเธอแหงนหน้ามองขึ้นไปยังเรือนยอดของต้นพุทรานั้นอย่างช้าๆ เธอหยุดยืนแหงนหน้ามองอยู่อย่างนั้น รอจนพ่อแม่ของเธอลงจากรถแล้ววิ่งตามลงมา ผมได้ยินเสียงคุณจุ๋มร้องเรียกลูกสาวตัวเองด้วยเสียงร่ำไห้ป่านจะขาดใจว่า ..
…. “ลูกจ๋า ลูกแม่จ๋า อย่าเป็นอะไรนะลูกแม่ แม่ผิดเอง แม่ผิดเอง”….คุณจุ๋มรีบวิ่งตรงเข้าไปหาลูกสาวตัวเองด้วยความเป็นห่วง…
แต่ด้วยความที่ผมคุ้นชินกับเรื่องลี้ลับ ผมจึงรีบคว้าตัวคุณจุ๋มไว้ไม่ให้วิ่งไปหาลูกสาว แล้วบอกว่า “รอดูก่อนครับ อย่าเพิ่งเข้าไป”
… จากนั้น น้องเค้าก็เอียงคอหันมาแสยะยิ้มให้กับพวกเรา…
….”คุณคะ ลูกสาวอีชั้นจะเป็นอะไรมากมั้ยคะ”…ผู้เป็นแม่พูดด้วยเสียงที่สั่นเครือ จากนั้นคุณวิเชียรก็เข้ามาประคองเมียตัวเองแล้วบอกให้คุณจุ๋มใจเย็นๆ พูดให้สติ และให้ดูสถานการณ์ไปก่อน
…แล้วสาวน้อยก็หันหน้าเดินตรงไปยังคุ้ม เธอจ้ำเดินเข้าสู่ความมืด ที่ปกคลุมอยู่ภายในชั้นล่างของคุ้มฯ เหมือนราวกับว่าเป็นสถานที่ ที่เธอคุ้นเคยเหมือนราวกับว่า….ที่นี่ เป็นบ้านของเธอ !!..
…..แสงแดดเริ่มอ่อนแรงลงแล้ว ตะวันเริ่มลับเหลี่ยมเขา ฟ้าก็เริ่มเป็นสีเทาๆ…
แต่เด็กน้อยคนนี้ ก็ยังไม่ยอมที่จะหยุดสร้างความหวาดวิตกให้กับพวกเรา .. คุณโจ้ วิ่งตามสาวน้อยเข้าไปในคุ้มแล้วยืนสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ สาวน้อยเดินเข้าไปยืนอยู่กลางห้องโถงชั้นล่าง แล้วทรุดตัวลงหมอบราบอยู่ที่พื้นในท่ากราบ แล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองเหมือนกับมีใครยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แล้วก็พูดขึ้นมาว่า …… “เฮาปิ๊กมาหานายแม่แล้ว”…..
พอเธอพูดจบสาวน้อยเธอก็ฟุบสลบไป ทันทีเสียงคุณจุ๋มก็แผดร้องขึ้นมา เหมือนคนเสียสติ .. ” ลู ก แ ม่ !! “…
….คุณจุ๋มวิ่งโผเข้ากอดตัวลูกสาวขึ้นมาเขย่าอย่างแรง พร้อมกับพูดคำซ้ำๆว่า
….” ลูกแม่ อย่าเป็นอะไรนะลูกแม่ แม่ผิดเอง แม่ผิดเอง “…. คุณวิเชียรก็วิ่งตามเข้ามากอดคุณจุ๋ม ..แล้วพูดปลอบคุณจุ๋มตลอดเวลา
.. “ลูกเราไม่เป็นไรแม่…ใจเย็นๆ ลูกเราไม่เป็นอะไรแน่ ลูกเราต้องหาย ..ไปๆ เรารีบไปโรงพยาบาลกัน ไปเถอะรีบไปโรงพยาบาลกัน “…
…..แล้วคุณโจ้พูดแทรกขึ้นมาท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดว่า…
…”เราพึ่งหมอที่โรงพยาบาลไม่ได้แล้วล่ะ อาการอย่างนี้ เราจะต้องไปวัดดอนจั่น ไปให้หลวงพ่อช่วยแก้ให้ ”
…ผมฟังแล้ว ผมแทบไม่เชื่อหูเลยว่าคุณโจ้จะแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้…
….สาวน้อยหมดสติเนื้อตัวเย็นเจี๊ยบมาตลอดทาง เมื่อตอนที่เดินทางมาก่อนที่จะถึงวัด .. แต่พอเราเลี้ยวรถเข้าใกล้วัดดอนจั่น ก็มีอาการดีขึ้น มีอาการคล้ายๆ เด็กที่เพิ่งจะตื่นนอน ร้องขอน้ำกิน ผมก็ส่งน้ำขวดให้คุณจุ๋มดูแลลูกรักของเธอ…
….เราทั้งหมดเดินลงจากรถ ฟ้าก็ใกล้จะมืดเต็มที … “อาจารย์ อาจารย์ ..พระรูปนี้แหละ ท่านเจ้าอาวาสฯ ที่เราจะต้องมาหา ”
…ภาพที่ผมเห็นก็คือ พระภิกษุรูปหนึ่งอายุน่าจะไม่น่าเกินห้าสิบปี ( ในปีพ.ศ. 2546 ) เป็นเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้น…
…ท่านยืนอยู่ใกล้กับรูปพระราหูขนาดใหญ่พอสมควร เป็นงานปูนปั้นตั้งอยู่กลางลานวัด ผมจำภาพได้ประมาณนี้…
….เราทั้งหมด และคุณวิเชียรที่อุ้มลูกน้อย ก็เดินตรงเข้าไปนมัสการท่านเจ้าอาวาสทันที แต่ไม่ทันที่เราจะได้พูดอะไรเลย
….ท่านเจ้าอาวาสก็เอ่ยขึ้นมาว่า “รีบนำเด็กคนนี้ออกจากเขตเมืองเชียงใหม่ให้ไวที่สุด แล้วเด็กคนนี้จะหาย”
….ผมนี่ขนลุกซู่เลย ท่านพูดขึ้นมาแบบไม่ต้องถามไถ่อะไรเลย…ผมหันไปมองหน้าทุกคนด้วยความมึนงง
ด้วยที่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมาก พลันผมก็เห็นคุณจุ๋มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้น กราบแทบเท้าท่านเจ้าอาวาสฯ แล้วถามว่า…”หลวงพ่อเจ้าขา ลูกอีชั้นจะเป็นอะไรมั้ยคะ ? “…หลวงพ่อก็ตอบเหมือนเดิมว่าให้รีบพาลูกสาวออกไปจากเชียงใหม่เสียเถิด…
….คุณวิเชียรถามผมว่า หลวงพ่อท่านรู้ได้ไง ผมก็ตอบแกไปว่า ผมเองก็ไม่เคยรู้จักท่านฯเลย มีคุณโจ้นี่แหละครับที่พาพวกเรามา
….จากนั้นพวกเราก็ไม่รอช้า จึงขอตัวกราบลาหลวงพ่อกลับทันที พวกเราต้องพากันรีบกลับไปเอารถของคุณวิเชียรที่จอดอยู่ในโรงพยาบาลมหาราช คุณโจ้และทุกคนก็รีบวิ่งกลับไปที่รถกัน พอผมจะหันหลังกลับ หลวงพ่อท่านก็เอ่ยทักขึ้นมาว่า “เดี๋ยวพ่อหนุ่ม อย่าเพิ่งไป”…ผมก็นึกในใจ อะไรว่ะ เมื่อกี๊บอกให้รีบ ตอนนี้บอกให้เดี๋ยว…ท่านเจ้าอาวาสก็กล่าวต่อไปอีกว่า ” ผู้ชายคนที่ใส่เสื้อสีฟ้านั้น ( หมายถึงคุณโจ้ )….
เค้ากำลังจะมีเคราะห์ อย่าให้เค้าเดินทางไกลคนเดียวนะ เตือนเค้าด้วย “..
เมื่อผมได้รับฟังแล้วผมก็ยกมือขอตัวกราบลาท่านเจ้าอาวาสอีกครั้ง .. “พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่ม”..แล้วหลวงพ่อท่านก็เรียกผมอีกครั้ง .. ” อีกยี่สิบปีข้างหน้า เจ้าจะเป็นนักพรต ” หลวงพ่อเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ผมก็เลยถามกลับไปว่า “ผมจะบวชไม่สึกเหรอครับหลวงพ่อ” .. ท่านก็ตอบกลับ …” คำว่า นักพรต คือ ผู้ทรงศีลแต่ไม่ใช่พระภิกษุ เป็นพวกฤๅษีอะไรทำนองนั้น
รีบไปเถอะโยมมืดค่ำแล้ว…รีบวิ่งตามพวกเค้าไป “…จากนั้นเราสองคนก็เดินทางมาส่งคุณวิเชียรและครอบครัวมาเอารถที่โรงพยาบาลมหาราช
….”จะตียาวถึงกรุงเทพฯเลยรึเปล่าครับ” คุณโจ้ถามคุณวิเชียร…
..” ก็ขอรีบออกจากเชียงใหม่ก่อนล่ะครับ คืนนี้ก็ว่าจะนอนที่กำแพงเพชรก่อนครับ”…คุณวิเชียรตอบกลับ
…เราพูดคุยกันอีกนิดหน่อยแล้วก็แลกเบอร์โทรศัพท์กัน เพื่อโทรเช็คกันในระหว่างที่สามพ่อแม่ลูกเดินทางกลับ…ผมชะโงกหน้ามองดูแม่สาวน้อยของผมที่นอนหลับหนุนตักแม่ของเธอ…นึกในใจว่า…อะไรกันนะ ที่พาให้พวกเรามาเจอกัน ในช่วงระยะเวลาที่แสนจะ ฉุกละหุกแบบนี้…
….สามพ่อแม่ลูกเดินทางจากเราไป ในค่ำคืนที่ผมรู้สึกเหนื่อยกับเรื่องลี้ลับที่สุดในชีวิต…
คุณโจ้บอกกับผมว่า เราควรจะกลับไปที่คุ้มฯ เพื่อเปิดไฟทิ้งไว้สักดวงสองดวงมั้ย…ผมก็ตอบกลับไปว่า “จะดีหรือ ?”….คือ จริงๆ ไม่อยากไปไง 555
….” เดี๋ยวเจอกันที่คุ้มเลยนะคุณโจ้ ” แต่ผมก็ต้องตอบแบบนั้น แล้วก็ขับรถออกไป
กะอีแค่เปิดไฟ ปล่อยให้มันมืดๆ สักคืนสองคืนคงไม่เป็นไร คุณโจ้ นะคุณโจ้ ผมก็บ่นของผมคนเดียวไปตลอดทาง ผมขับรถออกมาโดยคิดว่า อย่างไงคุณโจ้ก็ต้องไปถึงคุ้มก่อนผมแน่ เพราะแกขับออกไปก่อนหน้าผมไปนานแล้ว
…พอผมมาถึงคุ้ม ก็เห็นไฟที่ชั้นล่างของคุ้มเปิดอยู่สองสามดวง ผมก็นึกแหมคุณโจ้นี่ช่างกล้าหาญชาญชัย
เข้าไปเปิดไฟคนเดียวได้ไม่ต้องรอเรา…แต่เอ๊..? แล้วรถคุณโจ้จอดอยู่ตรงไหนวะ ที่แนวฟุตบาทก็มีรถผมคันเดียว นี่นา มองไปข้างหน้าไกลๆ ก็เห็นสองแถวแดงจอดอยู่อีกคัน มองไปด้านหลังก็ไม่มีรถจอด ผมจึงดับเครื่องแล้วเดินลงไปดู เผื่อว่าคุณโจ้จะเอารถเข้าไปจอดในคุ้ม .. แต่แล้วก็ไม่เห็นมีรถจอดในคุ้มสักคัน..
….ผมมองเห็นคนเดินอยู่ในคุ้ม ผมพยายามชะเง้อดูว่าใช่คุณโจ้รึเปล่า…แต่คนที่เดินอยู่ในคุ้มนั้นกลับกลายเป็น ลุงจุก !!!!!!
อ้าวเฮ้ยยยย อะไรยังไง… วันนี้ผมเจอแต่เรื่องลี้ลับ มาทั้งวันแล้ว ขณะนี้ผมเองสับสนไปหมด ความมั่นใจไม่เหลือหลอ…
…ตอนนี้คุณโจ้อยู่ไหน มาถึงรึยัง….
….ผมเริ่มไม่แน่ใจว่า สิ่งที่ผมเห็นอยู่ในตอนนี้ มันคือ “ลุงจุก” หรือ “ผีลุงจุก” กันแน่..!!?…แล้วววววววว

โปรดติดตามตอนต่อไป
Leave a Reply