อิงตะลันต์ ตอน เปรต…หลังบ้าน

ถนนในซอยไม่ใหญ่มาก รถพอสวนกันได้ ในยามค่ำคืนมีเสาไฟตั้งอยู่ห่างๆ  ไกลกันพอควรแสงไฟที่ส่องลงมาไม่สว่างเหมือนสมัยนี้ แต่ก็พอเห็นกันได้แค่ไม่ชัดเท่าไหร่นัก  ถ้าบางดวงหลอดเสียไฟก็จะกระพริบๆ ดูน่ากลัวมากถ้าต้องเดินคนเดียวยามค่ำคืน….

เมื่อก่อนแถวนี้คนไม่มากบ้านคนไม่แออัด ยังพอมีที่เปล่าเว้นเป็นช่วงๆ ถ้าตรงไหนมมีที่ดินว่างๆ ก็จะกลายเป็นดงกล้วยบ้าง ดงกระถินบ้างรกครึ้มไม่มีคนดูแล งูเงี้ยวเขี้ยวขอก็พอได้อยู่อาศัยหากินกัน

บ้านเราอยู่ในซอยนี้แหละ ตอนนั้นแถบนี้แทบจะเรียกว่าบ้านนอกเลยก็ได้ ผิดกับเดี๋ยวนี้กลายเป็นเมืองที่รถติดมหาศาลจะออกจากบ้านทีต้องดูเวลา ถ้าพลาดนิดเดียว คือ..จบข่าวววววการจราจรไปได้เลยจร้าาาา

….วันนั้น…เราเข้าบ้านเร็ว ตรงบ้านเราจะถูกคั่นด้วยที่ว่างทั้งสองฝั่ง และทั้งสองที่ก็รกแบบไม่ต้องพูดถึง มีต้นไม้เต็มไปหมด ทั้งกระถิน กระท่อม ดงกล้วย มะม่วง สารพัดที่จะขึ้นกัน บางทีเจ้าของที่ก็มาปลูกไว้ พอไม่ดูแลหญ้าก็ขึ้นรก เลยดูจะน่ากลัวๆ หน่อยๆ….

ห้องนอนเราอยู่ชั้นล่างที่ช่วงท้ายของบ้าน มีหน้าต่างมองเห็นไปที่ๆ ที่ของเพื่อนบ้านข้างๆ ที่มันมีแต่ต้นไม้รกๆ นั่นแหละ ….

“เฮ้ย..แก วันนี้ไปวัดมาเจอไรมั่งวะ” เสียงเราเจื้อยแจ้วถามเพื่อนที่ปลายสาย

“ไปเจออาจารย์มา..อาจารย์ท่านสอนธรรมะดีนะ วันหลังไปสิ” เพื่อนตอบ

“เออได้ๆ วันหลังพาไปหน่อยนะ..แต่เรามีเรื่องจะถามแกว่ะ” เริ่มเข้าเรื่อง

“เออไรวะ อย่ายากนะ 555”  เพื่อนแหย่มา

“ไม่ยากดิ..ที่แกเคยเล่าให้ฟังไงว่าเมื่อก่อนแกไม่มีความสามารถทางจิตอะไรเลย แล้ววันนึงที่แกไปเจออะไรสักอย่างอ่ะ แล้วก็เลยรู้เห็นนู่นนี่อ่ะ เล่าให้ฟังหน่อยดิ” เราเชิงหยั่งๆ ให้เพื่อนเล่า… เพราะไม่รู้ว่ามันจะเล่าป่าววันก่อนก็เหมือนจะเล่าแต่ก็ค้างไว้

….เรื่องของเรื่องคือ….เพื่อนคนนี้เมื่อก่อนก็ไม่ได้มีญาณหยั่งรู้อะไรกับเค้าหรอกใช้ชีวิตไปวันๆ ปกติเหมือน ทั่วๆ ไป แต่อยู่ๆ  มันก็รู้เห็นนู่นนี่และดันตรงสะด้วย  มันก็อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่ค่อยจะยอมเล่าให้ฟัง  ส่วนเราก็เป็นพวกอยากรู้เรื่องเพื่อนมันสนุกดี เราเจอเรื่องลี้ลับบ่อยจนชินตั้งแต่เด็กๆ  ก็จะเห็นเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องน่าสนุก และเป็นของเล่นไปวันๆ

เสียงปลายสายตอบมาว่า…”ก็ไม่มีไร  มีวันนึงเรานอนอยู่ที่บ้านดีๆ แม่ก็สั่งให้ไปเฝ้านาเราก็ไป ตอนไปอากาศมันก็ดีๆ  นี่แหละ  พอไปถึงที่นานั่งที่ขนำได้สักพัก  มันก็มีลมแบบลมบ้าหมูพัดมาเฉยเลยเว้ย…ก็ยังไม่ไรนะ สักแปบเดียวอากาศมันแปรปรวนแบบๆๆๆ บอกไม่ถูกว่ะ ไว้เจอเองละกัน..แกจะได้รู้เราก็ไม่เคยเห็นหรอกเพื่อน  ไอ้ตอนนั้นแหละเราเห็นแสงสีขาวมาจากไหนไม่รู้พุ่งมาที่เรา…แล้วก็ไม่รู้เรื่องแล้ว มารู้อีกทีก็ตอนแม่มาตะโกนเรียกนั่นแหละ” เพื่อนเล่าอย่างตื่นเต้นเหมือนเพิ่งเกิด ไอ้เราก็หูผึ่งสิ คิดไปต่างๆ นาๆ มีด้วยเหรอวะโครตน่าสนใจ…แล้วเราก็คะยั้นคะยอให้มันเล่าต่อ

“ตั้งแต่วันนั้นมาก็เจอแต่เรื่องแปลกๆ มองเห็นนู่นนี่ จนกุแทบจะบ้าาาาา แถมไม่พอใครมาถามไรรู้ไปอีกว่าเค้าคิดอะไร..ก็งงๆว่ะ  แต่เออก็ดี จนแม่งเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น ได้ยินอะไรที่ไม่ควรได้ยินบ่อยๆ  จนกุจะไปโรงพยาบาลบ้าแล้ว ก็เลยเริ่มค้นหาพระบ้าง อาจารย์บ้าง จนมาเจอแกนี่แหละ” เพื่อนเล่า

คืออย่างนี้..เราชื่อ อิงตะลันต์  เราเป็นพวกเกิดมาพร้อมเรื่องที่ชาวบ้านเรียกว่าเรื่องเหลือเชื่อ เห็นนู่น เข้าใจนี่ ไปตามเรื่อง แรกๆ ก็ไม่รู้ คิดว่าคนเค้าเป็นกันแบบนี้ ก็ไม่ค่อยจะยอมเข้าใจว่าเราน่ะไม่เหมือนชาวบ้านต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกใบนี้สักนิสสสนุง

อ่ะกลับมาเรื่องวันนั้นที่คุยกับเพื่อนต่อ  หลังจากที่มันเล่ามาถึงว่าจนมาเจอแกนี่แหละ….ตอนนั้นเรานอนคุยโทรศัพท์อยู่ในห้อง ข้างนอกหน้าต่างก็มืดๆ มีดงกล้วยเป็นวิวหลังห้อง ด้านนอกไม่มีลม ไม่มีฝน คืนนั้นฟ้าสว่างแจ้งเห็นข้างนอกค่อนข้างชัด ตอนที่ฟังเพื่อนเล่าๆ ไป โม้กันไปเรื่องนั้นเรื่องนี้ หันไปดูนาฬิกาปาเข้าไปจะห้าทุ่ม

..อยู่ๆ…สายตาเราเห็นอะไรบางอย่างคล้ายๆ เสาสูงๆ ตรงดงกล้วยด้านหลัง..ก็ยังไม่สนใจ  แต่คุยไปก็คิดละ  หลังบ้านกุมีอิเสานี้ตั้งแต่เมื่อไหร่วะ…ยังๆๆ ไม่สำนึก ยังคุยไปเรื่อย แต่ก็มองตลอด เฮ้ยมันขยับได้ว่ะ…เอาวะถามเพื่อนดูดิเผื่อมันจะรู้ แต่มันไม่มีเสานี้นี่หว่า…เราก็คิดเอาเองต่างๆ นาๆ

….”เฮ้ยเพื่อน”..เราตัดบท “ไรอีกอ่ะ จะถามไร”  เพื่อนถามแบบรู้ทัน

…เฮ้ยแก…ถ้าหลังบ้านแกไม่มีเสา แล้วจู่มันมีขึ้นมา แล้วมันขยับได้ทั้งๆที่ ไม่มีลม แกคิดว่ามันจะเป็นไรได้บ้างวะ” อิงตะลันต์ก็ถามไปจ้าาาาา

“เอ้าอินิ…มันจะมีไรละตอนจะเที่ยวคืน…เปรตมาขอส่วนบุญเมิงละม้างงงกุว่านะ 5555” เพื่อนมันตอบแบบนี้

“อิเฟี้ยยยยยย…เมิงพูดจริงป่ะเนี่ย กุเห็นตาเปล่าเลยนะมึง”…นู๋อิงเริ่มจะใจมะค่อยดี

“จะไปรู้ได้ไง แกไปดูเองดิ แกก็รู้ดีอยู่แล้วนิหว่า มาถามไมวะ บ้านยิ่งมืดๆอยู่ … ไม่คุยละ จะนอน” เพื่อนเริ่มตัดบท

“เฮ้ยๆๆๆๆ ไม่ได้ๆ อยู่เป็นเพื่อนกันก่อนดิ แม่งไม่ใช่เปรตหรอก แถวนี้ไม่มี้ไม่มีๆๆๆ จริงๆ” เริ่มพูดปลอบใจตัวเอง

แต่พอสิ้นเสียงนั้น…ต้นกล้วยหลังบ้านก็หักพับลงมาทั้งต้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ไม่มีลม ไม่มีพายุ และไม่มีอะไรเลย…..เท่านั้นเราก็จบแยกคะ….ต่างคนต่างไปกรวดน้ำอุทิศกันไปตามเรื่องของใครของมัน

จากวันนั้นมาก็กว่า 20 ปีแล้ว  ถ้าที่เราเจอนั้นเป็นเปรตก็ไม่รู้ว่าเค้าจะไปเกิดหรือยัง แต่เรื่องนี้ทำให้เราได้เรียนรู้อะไรๆ อีกหลายๆ เรื่องในความเข้าใจของภพภูมินี้ มันเป็นการเสวยกรรมในภาวะจิตๆหนึ่ง  ที่อุดมไปด้วยความโลภ  และที่ต้องเที่ยวขอส่วนบุญนั้นก็เพื่อเอาไว้รอในยามที่จิตพ้นสภาวะนี้เค้าจะได้ไปในที่ๆดี แต่ก็มีกลุ่มอื่นๆ อีก สิ่งเหล่านี้อยู่ไม่ไกลตัวเรา จึงต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจให้มากขึ้น มันทำให้เรารู้อะไรๆ ในอีกหลายๆ เรื่อง ไว้จะมาเล่าให้ฟังในตอนต่อๆ

อิงตะลันต์เล่าเรื่อง
อิงตะลันต์

 

 

Leave a Reply

Discover more from The Experience in someday

Subscribe now to keep reading and get access to the full archive.

Continue reading