… บ้ า น ที่ เ ห็ น ทั้ ง ห ม ด ถู ก ป ล่ อ ย ทิ้ ง ร้ า ง …
….มี แ ต่ ร า มี แ ต่ ม อ ส เ ก า ะ อ ยู่ ที่ ผ นั ง
…..ม อ ง ดู ม อ ซ อ ที่ สุ ด….
…เห็นกันอยู่หลัดๆ ป้าทองแกก็มาจากไปแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ถึงอย่างไงแกก็ยังได้มาร่ำลาผมในฝันนะ
แต่มีอยู่เรื่องนึงที่ผมแปลกใจ คือว่าคืนที่ฝันถึงแกนั้น ทำไมแกถึงบอกว่าคนชั่วอย่างลุงจุกมันไม่ตายง่ายๆ หรอก ทั้งๆ ที่ตลอดระยะเวลาที่ผมรู้จักป้าทองและลุงจุกมา ก็ไม่เคยเห็นเลยสักครั้งว่าป้าทองแกจะดุด่าว่าร้ายลุงจุกเลย มีแต่แสดงคmความห่วงใยให้กันและกัน หรือจะทะเลาะกัน ผมก็ไม่เคยเห็น อีกประการหนึ่งที่คาใจผมอยู่ก็คือ ทำไมลุงจุกถึงเห็นป้าทองมาในภาพที่น่ากลัวมีคราบเลือด ซึ่งต่างกับภาพที่ป้าทองมาให้ผมเห็น…
….ผ่านไปอีกไม่กี่วัน แป๋วพนักงานบริษัท คนที่พ่อเลี้ยงฝากให้แวะไปส่งข้าวส่งน้ำลุงจุกที่โรงพยาบาลก็โทรมาหาผมในช่วงเย็น “ลุงจุกอยู่ที่คุ้มฯมั้ยคะพี่ ?” แป๋วพูดด้วยอาการตื่นตกใจ ผมก็งงๆ ตอบกลับไปว่า “ไม่อยู่ ไม่เห็นนะ ..ลุงจุกไม่อยู่ที่นั่นเหรอ” ผมสอบถามแป๋วอยู่พักหนึ่งก็ได้ความว่า พยาบาลแจ้งว่ามีผู้หญิงวัยกลางคนมารับลุงจุกกลับบ้าน แต่ก็ไม่ได้ลงชื่อไว้ว่าเป็นใคร ผู้หญิงคนที่มารับได้แจ้งกับทางพยาบาลว่าเป็นญาติเท่านั้นคะ .. ผมเริ่มนึกถึงญาติแก แต่ เอ๊..? ลุงจุกแกก็ไม่มีญาติอยู่ที่นี่เลยนี่นา เห็นมีแต่ป้าทองหรือว่าญาติจริงๆ ของแก จากสิงห์บุรี หรืออ่างทองอะไรแถวๆ นั้นจะมารับกลับไป ผมก็เลยบอกกับแป๋วไปว่า รอดูสถานการณ์สักพักก่อนนะใจเย็นๆ ลุงจุกกับญาติเค้าอาจจะกำลังเดินทางมาที่คุ้มก็ได้ ผมจึงได้รอลุงจุกอยู่ที่คุ้มฯ ถึงประมาณทุ่มครึ่ง แต่ก็ยังไม่เห็นจะมีวี่แววว่าลุงจุกจะมาเลย
… ไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนผมมันวังเวงยังไงพิกล คุณโจ้ก็ติดต่อไม่ได้ ผมเลยตัดสินใจไปเปิดห้องพักรายวันที่อพาร์ทเม้นท์แถวๆ ตลาดคำเที่ยงนอนพักสักคืนนึงก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที
….พอเช้ามาผมก็รีบกลับมาที่คุ้มฯ ผ่านไปแล้วหนึ่งคืน ก็ยังไม่มีวี่แววของลุงจุกเหมือนเคย .. พอสายหน่อย คุณโจ้ก็เข้ามาที่คุ้มฯ ผมก็เลยถามคุณโจ้ดูว่ารู้เรื่องลุงจุกออกจากโรงพยาบาลแล้วใช่ไหม แต่คุณโจ้ก็ไม่ได้ตอบอะไร แค่ส่ายหัวแล้วก็บ่นพรึมพร่ำว่า ช่างหัวแม่งมัน…ผมก็งงไปอีก เพราะปกติคุณโจ้จะเป็นคนใจดี มองลูกน้องทุกคนในแง่ดี แต่ไหงวันนี้ถามถึงลุงจุกแกถึงดูหงุดหงิดจัง..
….”เดี๋ยววันนี้เราไปสั่งบานเฟี้ยมที่โรงไม้แถวสันกำแพงกัน”.. คุณโจ้ชักชวนผม แล้วสักพักเราก็ขับรถตรงไปยังสันกำแพง ก่อนเข้าสันกำแพงเราก็แวะสั่งเครื่องเซรามิกที่ร้านศิลาดล ผู้จัดการร้านฯ ก็เข้ามาทักทาย ดูสนิทสนมกับคุณโจ้เป็นอย่างมากคุยกันสักพักนึง จากนั้นเราก็ออกเดินทางต่อไปยังโรงไม้ที่สันกำแพง พอถึงโรงไม้ผมก็เดินสำรวจไม้แปรรูป บานประตูหน้าต่าง งานแกะสลักสำเร็จรูปต่างๆ ที่มีวางโชว์อยู่มากมาย
.. จากนั้นผมก็ส่งรูปแบบและขนาดพร้อมจำนวนบานเฟี้ยมที่จะสั่งซื้อ ให้เถ้าแก่โรงไม้ได้รับทราบถึงความต้องการ .. “บานเฟี้ยมไม้สักทางเฮาบ่าได้แปง มาเมินแล้ว” ..เถ้าแก่พูดภาษาเหนือบอกกับผม ว่าไม่ได้ทำบานเฟี้ยมไม้สักขายมานานแล้ว มีแต่บานไม้จุมเปา ไม้ห้าน้ำ อะไรประมาณนี้…พอผมได้ฟังชื่อไม้ ผมก็มึนตึ้บสิครับ
.. ไม้อะไรว่ะไม่เคยได้ยินชื่อเลย แต่ผมก็สั่งนะครับด้วยเหตุที่ว่าเห็นเค้าก็ทำขายกันเป็นล่ำเป็นสัน อีกทั้งเนื้อไม้ก็มีลายที่สวยงาม มารู้ภายหลังว่าไอ้เจ้าไม้จุมเปานี่ก็คือไม้ที่ทางภาคกลางและภาคใต้เรียกกันว่า “จำปาทอง” และไอ้เจ้าไม้ห้าน้ำ ก็คือ ไม้มะเกี๋ยน หรือ “ไม้ต้นหว้า” ไม้ทั้งสองชนิดนี้เป็นไม้เนื้ออ่อนที่มีลายสวยงาม ใช้ทำงานไม้ที่ไม่ต้องไปออกแดด เหมาะสำหรับทำเฟอร์นิเจอร์ในร่ม และเมื่อย้อมสีชักเงาแล้วก็สามารถใช้ทดแทนไม้สักได้เป็นอย่างดี ข้อสำคัญคือ ราคาของไม้สองชนิดนี้มันต่างกับราคาไม้สักราวฟ้ากับเหว…ผมจึงจัดการสั่งซื้อและวางเงินมัดจำไว้ครึ่งหนึ่ง แล้วเถ้าแก่ก็นัดส่งงานผมภายในไม่เกิน 15 วัน ผมเขียนแผนที่ทางไปคุ้มฯ ไว้ในใบสั่งงานเรียบร้อย แล้วผมกับคุณโจ้ก็เดินทางกลับกัน
….พอออกจากโรงไม้ คุณโจ้ก็พาผมทัวร์เมืองสันกำแพงทันที เราขับรถผ่านหน้าวัดแจ้จ๊าง
.. คุณโจ้ก็เล่าให้ฟังว่าคำว่า “แจ้จ๊าง” นั้นก็คือคำว่า แช่ช้างนั้นแหละครับ วัดนี้เป็นที่พักช้างเป็นที่นำช้างมาอาบน้ำเล่นน้ำกันในสมัยโบราณ จากนั้นเราก็ไปหาสล่าเพชรที่บ้านจ๊างนัก ..ไปดูงานแกะสลักไม้ เป็นช้างสามเศียร ลักษณะลอยตัวขนาดมหึมาเห็นแล้วก็อดที่จะนึกถึงม้าไม้แห่งกรุงทรอยในตำนานเทพกรีกไม่ได้เลย แต่งานที่เราเห็นนั้นยังไม่เสร็จสมบูรณ์ .. ผมยืนแหงนคอมองงานแกะสลักช้างสามเศียรสูงราวตึก 3 ชั้นชิ้นนั้นด้วยความตื่นตาตื่นใจ
..แล้วก็อดสงสัยไม่ได้ว่าจะขนไปส่งลูกค้าที่กรุงเทพได้อย่างไร สล่าเพชรก็บอกกับเราว่างานชิ้นนี้สามารถถอดประกอบได้ เป็นงานสลักกลทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องการขนส่ง พอยิ่งได้ฟังว่าเป็นงานที่มีสลักถอดประกอบได้ ผมก็ยิ่งทึ่งเข้าไปอีก..ปัจจุบันตั้งอยู่หน้าหอศิลป MOCA ที่อาคารเบญจจินดา ของเจ้าสัวบุญชัยแถวๆ ถนนวิภาวดีฯ ที่กรุงเทพฯ ครับ…เมื่อได้ชมของดีๆ และกินข้าวเที่ยงกันแล้ว คุณโจ้ก็ออกรถออกจากสันกำแพง แต่คุณโจ้ไม่ได้ขับกลับเข้าเมือง เส้นทางที่เราไปมันเป็นเส้นแม่ออน – เวียงป่าเป้า..

….” คุณโจ้จะพาอาจารย์ไปไหนครับ ” …ผมเอ่ยถามคุณโจ้ด้วยความสงสัย คุณโจ้ก็ตอบกลับมาว่าจะพาผมไปนั่งคุยกับสถาปนิกคนหนึ่งที่ในอดีตก็จัดว่าเป็นสถาปนิกที่มีชื่อเสียงอยู่ในลำดับต้นๆ ของทำเนียบ สถาปนิกล้านนา รับงานเต็มมือ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นคนที่เก็บตัวเงียบเป็นคนถือสันโดษ ไม่สุงสิงกับใคร อยู่เงียบๆในรีสอร์ทร้างแห่งหนึ่ง เหตุที่ต้องกลายเป็นเช่นนี้ก็เพราะไปเจอเรื่องอาถรรพ์แบบที่เราสองคนได้เจอนี่แหละ คุณโจ้บอกกับผมว่า..ไว้รอฟังเรื่องราวจากปากของเค้าเองละกัน..
….เส้นทางที่เดินทางไปนั้น ในช่วงแรกเราก็ขับรถกันไปบนที่ราบ พอผ่านไปได้สักห้าสิบกิโลฯ เส้นทางก็เปลี่ยนมาวิ่งเลาะแนวเขาผ่านพื้นที่ลาดชันและคดเคี้ยวขึ้นเรื่อยๆ …ไม่นานนัก เราก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเส้นเล็กๆ ที่ตรงปากทางเข้ามีป้ายชื่อรีสอร์ทที่เก่าๆ ผุๆ จนแทบจะอ่านชื่อไม่ออก และนี่ก็คือสาเหตุที่ผมจำชื่อรีสอร์ทแห่งนี้ไม่ได้…
จำได้แต่เพียงว่ารีสอร์ทแห่งนี้เคยมีคดีความ เพราะเจ้าของรีสอร์ทมีคดีฟอกเงิน ถูกสั่งอายัดทรัพย์สิน หยุดการดำเนินกิจการไป คดีนี้เคยเป็นที่โด่งดังอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อในอดีตมาแล้ว..
….ภาพที่ผมเห็นในระหว่างทางที่เราขับรถเข้าไป ก็คือบ้านเดี่ยวชั้นเดียวบ้าง บ้านเดี่ยวสองชั้นบ้าง แต่ละหลังก็มีขนาดใหญ่พอสมควร ทุกหลังตั้งอยู่บนพื้นที่ไม่ต่ำกว่า 200 ตร.ว. เป็นอย่างน้อย ปลูกเรียงรายกันอยู่สองข้างทาง ประเมินคร่าวๆ ด้วยสายตา ก็ไม่น่าจะต่ำกว่า 30 หลัง บ้านที่เห็นทั้งหมด ถูกปล่อยทิ้งร้าง มีแต่รา มีแต่มอสเกาะอยู่ที่ผนัง มองดูมอซอมากบางหลังที่หลังคาเป็นกระเบื้อง หลังคาก็จะแตกทะลุ คงเป็นเพราะโดนพายุลูกเห็บ บางหลังก็ดูเหมือนว่าสร้างได้ครึ่งๆ กลางๆ ก็หยุดสร้างคาร้างไว้อย่างนั้น ถนนที่เราขับเข้าไปเป็นถนนคอนกรีตกว้าง 8 เมตร มองไปก็จะเห็นแต่วัชพืชที่แทรกตัวขึ้นอยู่ทั่วไป ตามร่องรอยแตกของถนน บางช่วงก็หักแตกทรุดตัวลง ต้องวิ่งบนแผ่นเหล็กที่ปูไว้บนถนน…
….เรามาถึงอาคารหลังหนึ่ง เป็นอาคารชั้นเดียวที่เปิดผนังโล่งสามด้าน มีเสาไม้ต้นเบ้อเริ้มงานออกแบบตัวอาคารก็ดูแปลกตาปลูกสร้างได้สวยงาม อีกทั้งยังมีไม้ประดับรายล้อมจัดแต่งภูมิทัศน์ไว้อย่างสวยงามมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี ดูๆ ไปแล้วก็น่าจะเคยเป็นคลับเฮ้าส์ ของโครงการ มาก่อน เราสองคนลงจากรถก็ต้องเดินข้ามสะพานเล็กๆ ที่อยู่เหนือลำเหมือง มีน้ำใสๆ ไหลเชี่ยวอยู่เบื้องล่าง .. มันช่างแตกต่างกันมากเลยนะครับ จากจุดที่เราผ่านมาจากด้านหน้า ที่มีแต่อาคารบ้านร้างเหมือนรีสอร์ทผีสิง กับตรงนี้ที่ดูสวยงามร่มรื่น เมื่อเข้ามาแล้วก็อยากจะนั่งพักหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดอยู่สักนานๆ หน่อย…
….แล้วเราสองคนก็เข้ามาที่ล็อบบี้ มองเห็นชุดรับแขกที่เป็นเก้าอี้หวายอาร์มแชร์มีเบาะกรุด้วยผ้าอย่างดี แต่ผมก็เลือกที่จะนั่งบนเตียงเดย์เบด บรรยากาศมันชวนนอนชะมัด เสียงเพลงเบาๆ ที่ดังมาจากเคาน์เตอร์บาร์ ทำให้เรามั่นใจว่า แถวนี้อย่างไรเสียก็ต้องมีคนอยู่แน่นอน…
….สักพักก็มีผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินออกมาจากด้านในของตัวอาคาร คุณโจ้ก็เอ่ยปากทักทาย ” สวัสดีครับพี่จี “…..คุณจีรศักดิ์คนนี้แหละครับ คือสถาปนิกที่เรากล่าวถึงไว้ในช่วงต้น…
คุณจี แกก็ต้อนรับเราเป็นอย่างดีด้วยกาแฟ น้ำร้อน น้ำเย็น เรียกว่าจัดเต็มกันมาเลยครับ คุณโจ้ก็แนะนำผมให้คุณจีรู้จัก “สวัสดีครับ คุณจี” ผมเอ่ยทักแล้วยิ้มให้คุณจี
..คุณโจ้เอ่ยต่อ..”พี่ครับช่วยเล่าเรื่องที่พี่เคยเจอมากับตัวเมื่อครั้งทำโครงการให้อาจารย์ฟังหน่อยได้มั้ย ตอนนี้ที่คุ้มเราไม่รู้จะทำยังไงดี เผื่จะเห็นหนทางบ้าง” แล้วคุณโจ้ก็ขอให้คุณจีช่วยเล่าเรื่องอาถรรพ์ที่คุณจีได้พบเจอที่รีสอร์ทแห่งนี้ให้พวกเราฟังเพราะพวกเราเองก็กำลังประสบกับเรื่องอาถรรพ์อยู่ในขณะนี้ เผื่อประสบการณ์ของคุณจี จะช่วยให้เราได้หาทางออกทางแก้กันได้บ้าง
….คุณจีพยักหน้ารับ…แล้วก็พาเราเดินมาอ้อมเข้าด้านหลังของเคาน์เตอร์บาร์ที่มีขนาดกว้างมาก ด้านในนั้นมีโมเดลโครงการขนาดใหญ่มากก็น่าจะอยู่ในราว 1.20 x 2.40 เมตร โมเดลชิ้นนี้จำลองภาพรวมของโครงการทั้งหมดไว้ เรียกว่าเป็น Lay-out Masterplan เลยทีเดียว โมเดลชุดนี้สวยงามมาก ถูกเก็บรักษาเป็นอย่างดีภายใต้ฝาครอบอะคริลิกที่ยังใสแจ๋วอยู่เลย
….จากนั้นคุณจีก็เอานิ้วชี้ไปยังจุดนั้นจุดนี้ อธิบายว่าตรงนี้เป็นส่วนบ้านพัก ตรงนี้เป็นพื้นที่สาธารณะ นี่นั้นโน้นเรื่อยไป แล้วคุณจีก็ค่อยๆ เริ่มเล่าเรื่องอาถรรพ์ที่เค้าได้พบเจอ ณ ที่แห่งนี้ให้เราได้รับฟัง…
….คุณจีนั่งลงแล้วเริ่มเล่าว่า…รีสอร์ทแห่งนี้เริ่มต้นจากการกว้านซื้อที่ดินจากชาวบ้านโดยนักธุรกิจใหญ่ทางพัทยาเมื่อปี พ.ศ. 2528
แล้วก็เริ่มดำเนินการก่อสร้างในราวปี พ.ศ. 2532 โดยวางคอนเซ็บต์ให้เป็นบ้านพักตากอากาศให้แก่ผู้มีรายได้สูงและบริหารงานในรูปแบบของ ไทม์ แชร์ริ่ง….
พูดง่ายๆ ก็คือ โครงการจะบริหารจัดการให้ผู้ซื้อมีผลประโยชน์ตอบแทนเมื่อมีคนเข้าพักในขณะที่เจ้าของบ้านไม่อยู่ ตอนนั้นระบบนี้ดูยังใหม่อยู่สำหรับบ้านเรา
…โครงการนี้ได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อแบบไม่น่าเชื่อ เปิดตัวโครงการวันแรกบรรดาไฮโซก็แห่กันมาซื้อ วันเดียวก็ขายกันเกือบจะหมดเกลี้ยง…เหลือไว้จองกันได้เพียงไม่กี่หลัง
ผมเป็นสถาปนิกประจำโครงการมาตั้งแต่แรกเริ่ม ผลงานการออกแบบได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี ถือเป็นโครงการ ที่สร้างชื่อเสียงให้กับผมเป็นอย่างมาก ตอนนั้นผมได้ตำแหน่งเป็นเบอร์สองของโครงการ มีอำนาจในการตัดสินใจเกือบทุกอย่าง ผมถึงมีความผูกพันและรักโครงการนี้มากเพราะผมสร้างมาเองกับมือ
….แต่แล้วพอโครงการเริ่มดำเนินการบนพื้นที่ได้ไม่แค่กี่เดือน พอตกกลางคืนผมและคนที่นอนพักค้างอยู่ที่โครงการ รวมถึงพวกบรรดาคนงานก่อสร้างก็มักจะได้ยินเสียงผู้คนมากมายส่งเสียงโห่ร้องกันอย่างอึกทึกครึกโครม มันเป็นอย่างนี้อยู่เรื่อยมาติดต่อกันอยู่หลายคืน จนคนงานเริ่มหวาดกลัวจะทิ้งงาน ไม่ยอมอยู่ที่อีกต่อไป ผู้รับเหมาฯ บางรายก็บอกเลิกไม่ยอมเข้าทำงานต่อเพราะเชื่อว่าที่ดินบริเวณนี้มีอาถรรพ์แรง
….เรื่องนี้ก็เลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ของโครงการทำให้งานก่อสร้างที่ทำล้าช้า ผมต้องปวดหัวตลอดกับการที่จะต้องจัดการกับเรื่องทีมงานผู้รับเหมาฯ ที่พากันทยอยถอนตัวออกอยู่เรื่อยๆ
… แต่เสียงประหลาดที่เกิดขึ้นก็ยังคงดังอยู่ทุกคืนอย่างนั้น โดยยังหาที่มาของเสียงไม่ได้…
พื้นที่ทางกายภาพของรีสอร์ทแห่งนี้ ก็จัดว่าเป็นลักษณะของวัลเล่ย์ คือเป็นพื้นที่ต่ำมีความอุดมสมบูรณ์ มีหุบเขาโอบล้อมไว้รอบทุกด้าน เวลาเราตะโกนเสียงดังๆ ก็จะเกิดเสียงเอคโค้ ก้องอยู่รอบตัวเรา ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้ หาที่มาของเสียงได้ยาก และที่ร้ายกว่านั้นก็คือ…ไม่รู้ว่าเป็นเสียงอะไร..?
….จนอยู่มาคืนหนึ่งผมนอนหลับแล้วฝันไปว่า… ถูกทหารโบราณกลุ่มหนึ่งจับมัดอย่างแน่นหนาแล้วลากตัวไปยังป่าหลังที่ตั้งโครงการ พอฉุดกระชากลากถูมาพ้นแนวป่า ผมก็เห็นเป็นเหมือนเมืองหรือค่ายคูประตูหอรบขนาดใหญ่ มีกำแพงก่อด้วยอิฐแดงล้อมรอบ ผู้คนเดินไปเดินมามากมายในเมืองนั้น จนกระทั่งโดนลากมาถึงที่นึง แล้วทหารก็หยุดและผลักผมลงไปกองกับพื้นต่อหน้าชายร่างสูงใหญ่ กำยำหน้าตาดูดุขึงขัง ดูลักษณะแล้วคล้ายว่าจะเป็นหัวหน้า
แล้วเสียงสั่งอันเฉียบขาดก็ดังก้องขึ้นทันที…”เอามันไปบั่นหัวซะ”… แล้วผมก็สะดุ้งตื่นแบบสุดตัว เพราะผมเห็นหัวผมลงไปกองอยู่กับพื้น…ตื่นมาเหงื่อแตกพลัก พร้อมกับเสียงนั้นยังก้องอยู่ในหัวผมตลอดเวลา ตอนนั้นผมแทบจะบ้า เพราะผมฝันซ้ำๆ กันอยู่อย่างนั้นเป็นเดือนๆ บางคืนก็ฝันเห็นคนหัวขาดเดินกันขวักไขว่อยู่ทั่วบริเวณพื้นที่ของโครงการ
….แล้วเช้าวันหนึ่งผมเลยตัดสินใจลองออกเดินสำรวจเส้นทางตามที่ผมได้เห็นในฝัน พอเดินพ้นแนวป่าออกไป ก็พบว่าเป็นทางลาดชันสลับกับพื้นที่สูงต่ำ ที่ดินบริเวณนี้ก็ยังเป็นที่ดินของทางโครงการอยู่ แต่จะเก็บไว้สร้างเฟส 2 แต่ที่น่าแปลกก็คือตรงที่พื้นดินบริเวณนี้ มันดูไม่เขียวขจีเหมือนที่ดินตรงอื่นทั่วๆ ไป ผมเลยลองสืบถามชาวบ้านแถวนั้นดูว่าบริเวณนี้เคยเป็นวัด หรือเป็นป่าช้าอะไรมาก่อนหรือเปล่า แต่ชาวบ้านก็บอกว่า ก็เห็นเป็นอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้วไม่รู้เหมือนกันว่าเคยเป็นมั้ย
….ผมก็เลยยังไม่คิดที่จะสืบหาความจริงอะไรในเรื่องนี้อีก… แต่แล้วอยู่มาคืนหนึ่งเป็นคืนเดือนเพ็ญวันนั้นฟ้าสว่างมาก ผมก็เลยเดินออกมาชมจันทร์ แต่ปรากฎว่าเมื่อผมมองไปทางแนวป่าด้านหลังโครงการ ผมสังเกตเห็นบางอย่างเหมือนกองทัพทหารที่เห็นในฝัน ผมไม่ได้ตาฝาด ไม่ได้หลับ ไม่ได้ฝันอยู่อย่างแน่นอน ผมเห็นกะตาว่า ทหารเหล่านั้นยืนเรียงหน้ากระดานเต็มแนว แต่ละคนก็ถืออาวุธเต็มมือ จำนวนคนที่ยืนอยู่มากมายมหาศาลมองไปจนสุดสายตาก็ไม่สิ้นสุด มีทั้งช้างทั้งม้า ภาพที่เห็นมันชัดเจนมาก
แต่ไม่ทันไรกองทัพทหารที่เห็นมันก็วิ่งพุ่งตรงเข้ามา ที่ผมจากนั้นผมก็ไม่ได้รู้ตัวอีกเลย จนลูกมาเล่าว่าเห็นผมล้มหัวฟาดพื้นหมดสติไปคนงานเลยต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลในกลางดึกคืนนั้น ..
ผมพักรักษาตัวได้สักระยะ พอหายดีเป็นปกติกลับมาได้ ผมก็สั่งให้คนงานเข้าไปขุดตรวจดูที่ดินบนเนินหลังแนวป่านั้นทันที ขุดอยู่สามสี่วันก็พบกับแนวคันอิฐ ผมเห็นดังนั้นก็เลยมั่นใจว่าต้องเป็นวัดร้างหรือฐานเจดีย์โบราณอะไรสักอย่าง จึงได้แจ้งทางกรมศิลปฯ เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบ หลังจากที่ทางกรมศิลปฯ เข้ามาตรวจสอบ ก็ทราบว่าที่นี่เป็นเมืองหน้าด่านในสมัยโบราณ และนอกจากนั้นยังมีการขุดพบซากอาวุธโบราณอีกมากมาย ตอนนี้ที่ดินบริเวณนั้นทางกองโบราณคดีก็ตีหมุดประกาศเป็นโบราณสถานเรียบร้อยไปแล้ว
….พอเสร็จเรื่องนั้นผมก็ทำบุญใหญ่อุทิศส่วนกุศลให้กับวิญญาณทุกดวงในบริเวณนั้นไป..
ผมก็คิดว่ามันจะจบแค่นั้น..แต่เรื่องมันไม่ได้จบอยู่เพียงแค่นั้นน่ะสิ เค้ายังคงผูกพันหวงแหน เฝ้ารักษาแผ่นดินของเค้าอยู่ถึงเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็เถอะ…เพราะผมยังคงฝันเห็นชายตัวกำยำร่างใหญ่ถือหอกมายืนเหยียบหน้าอกผม แล้วสั่งเสียงเฉียบขาดก้องกังวานบอกว่าให้ยุติในสิ่งที่มึงทำซะ อย่ามารบกวนพวกกูอีก มิเช่นนั้นจะพบกับความตาย ความสูญเสีย ฉิบหายกับพวกมึงทุกคน
….แต่ผมเองก็ไม่รู้จะเอาเรื่องอย่างนี้ไปอธิบายให้ใครฟังได้ โครงการก็ต้องดำเนินต่อไป…
….แต่จากความฝันครั้งนั้น ยังไม่ทันจะข้ามปี…คุณจีหยุดหายใจทำหน้าเศร้าๆ…ลูกชายคนเดียวของผมประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตกระทันหัน และต่อมาไม่นานภรรยาผมก็ป่วย เข้าโรงพยาบาลพบว่าเป็นโรคฉี่หนู แต่ก็รักษาไม่ทันก็เสียชีวิตจากไปอีก ส่วนผู้บริหารฯ เจ้าของโครงการก็เกิดคดีเกี่ยวกับที่ดินของโครงการ และก็ถูกอายัด ตอนนั้นผมแทบล้มทั้งยืนสูญเสียหมดทุกอย่าง….
แล้วพี่จีก็เงียบไป ปล่อยให้พวกเรานั่งมองตากันในความเงียบงันนั้น
ผ่านไปแล้วยี่สิบกว่าปี พี่จีแกยังอยู่ที่นี่ อยู่ด้วยความหวัง หวังว่าจะมีใครสักคนที่จะเข้ามาสานต่อพลิกฟื้น โครงการฯนี้ ให้กลับมาอีกครั้ง….
….ผมฟังเรื่องของพี่จีจบลง ผมก็ยังมองไม่เห็นเลยว่าโครงการฯ นี้มันจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อย่างไร ทุกวันนี้พี่จีเองก็ทำตัวไม่ต่างกับฤๅษีที่บำเพ็ญตบะอยู่กลางป่า ..
….เย็นมากแล้วผมกับคุณโจ้ต้องรีบเดินทางกลับเข้าเมืองเชียงใหม่….เราจึงกล่าวคำร่ำลาพี่จี และขอบคุณที่แกอุตส่าห์สละเวลามานั่งเล่าเรื่องอาถรรพ์ให้เราสองคนได้ฟังกัน ขณะที่เราสองคนอยู่บนรถ ผมได้ถามคุณโจ้ว่า พี่จีเค้าอยู่ที่รีสอร์ทร้างตลอดยี่สิบกว่าปีมาได้อย่างไง คุณโจ้แกก็ตอบว่า พี่จีแกยังได้เงินเดือนจากภรรยาเจ้าของโครงการ ฯ เหมือนยังดูแลกันอยู่ อาจจะไม่มากเหมือนตอนที่มีงานทำ แต่ก็มีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาในโครงการ อื่นๆ ดูแกก็ไม่ได้ดิ้นรนแสวงหาอะไรแล้ว การที่แกอยู่นิ่งๆ อาจเป็นเพราะแกเสียใจมากจากการที่ต้องสูญเสียครอบครัวไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น…
….จบเรื่องของพี่จีไปแล้ว…ว่าแต่เรื่องของเราจะเอาไงต่อดี…คืนนี้ผมจะนอนไหนยังไม่รู้เลย…ตั้งแต่ไม่มีลุงจุกกับป้าทองแล้ว คุ้มฯ มันยิ่งดูเงียบสงัดและน่ากลัวมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสิบเท่า….แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป…

โปรดติดตามตอนต่อไป
Leave a Reply