…ผี ที่ คุ้ ม เ จ้ า ห ล ว ง ฯ…( ต อ น ที่ 5 )
…ใ น เ มื่ อ ช า ติ นี้ กู ป ล่ อ ย พ ว ก มึ ง แ ล้ ว พ ว ก มึ ง ไ ม่ คิ ด ที่ จ ะ ไ ป กั น
…ช า ติ ห น้ า กู ก็ จ ะ ก ลั บ ม า ป ล่ อ ย พ ว ก มึ ง อี ก …
…..ผมละสายตาจากรถแบ็คโฮออกไป แล้วแหงนมองดูความอลังการของทรวดทรงต้นพุทราร้อยปี ที่มีกิ่งก้านงดงามในยามกลางวัน และน่าสะพรึงกลัวในยามค่ำคืนอยู่อย่างเพลินๆ อยู่ๆ ลุงจุกแกก็ตะโกนขึ้นมาดังลั่น…
เล่นสะเอาผมเองตกอกตกใจ… ” หัวหน้าครับ หัวหน้าครับ อะไรมันติดขึ้นมาครับนั้น !! “…ผมก็มองไปตามมือลุงจุกที่แกชี้ไป
….รถแบ็คโฮ มันจ้วงเอาอะไรขึ้นมาว่ะ ? !! ผมเพ่งมองไปที่ฟันบุ้งกี๋ ดูเหมือนมีซากอะไรติดขึ้นมาเหมือนเศษเหล็กขึ้นสนิม..
…..ผมเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ก็เห็นเป็นโซ่เหล็กผุๆ กร่อนๆ เป็นสนิมขุม ฝังตัวอยู่ใต้ดินพันอีรุงตุงนังอยู่กับรากไม้
…..ผมจึงสั่งให้รถแบ็คโฮหยุดทำงานก่อน ผมตั้งข้อสงสัยว่า โซ่ที่เห็นอยู่นี่ มันล่ามอะไรอยู่ เพราะผมกลัวว่า ถ้าด้านล่างนี้มันเกิดเป็นหีบสมบัติฝังอยู่ อาจจะได้รับความเสียหายได้ถ้าขืนยังให้รถแบ็คโฮขุดต่อไป
..พอเห็นดังนั้นแล้วผมก็สั่งให้คนงานช่วยกันเอาจอบเอาเสียม มาช่วยกันขุดช่วยกันคุ้ยตะกุยดูว่าอะไรกันแน่ที่อยู่ลึกลงไป แต่ยิ่งขุดมันก็ยิ่งจะดูยากขึ้น เพราะคมจอบคมเสียมต้องมากระเด้งกระดอน ตอนที่กระแทกโดนรากไม้ ส่วนลุงจุกแกก็นั่งยองๆ เอาเสียมมาไล่เลาะขุดเปิดหน้าดินขึ้นอยู่ใกล้ๆ กับผม
…” หัวหน้าครับ ลุงว่าเราน่าจะใช้แบ็คโฮขุดนำลงไปอีกสักหน่อยนะครับ “…ลุงจุกแกเอ่ยแนะนำ ผมเองก็เห็นดีด้วย
…..จากนั้นรถแบ็คโฮก็เริ่มต้นขุดต่อไป แต่ครั้งนี้คนขับได้เพิ่มความระมัดระวังในการขุดมากขึ้น ขุดไปก็ค่อยๆ ตะกาวดินขึ้นมาเรื่อยๆ ส่วนผม ลุงจุก ป้าทอง กับคนงานอีกสี่ห้าคน ต่างก็มองไปหลุมใหญ่ที่กำลังค่อยๆ ถูกเปิดออก ด้วยความตั้งอกตั้งใจ
…หลุมถูกเปิดกว้างออก พร้อมด้วยความลึกราวสองเมตร พอพ้นแนวรากแขนงของไม้ใหญ่ที่แผ่คลุมบริเวณหน้าดินไปได้ งานของเราก็เพิ่มขึ้นทันที จากเดิมแค่การเตรียมหลุมเพื่อฝังกลบอิฐหัก แต่ตอนนี้ดันมีงานนักสำรวจโบราณคดีเพิ่มขึ้นอีก พวกเราพร้อมเครื่องมือที่ถือติดมือก็ค่อยๆ สไลด์ตัวลงไปสำรวจในหลุม สิ่งที่เราพบก็คือ โซ่เก่าๆ กร่อนๆ ที่มีลักษณะเป็น โซ่ตรวน อีกทั้งใบมีด ใบพร้า รวมไปถึง ขอสับช้าง…
…..พอลุงจุกแกเจอ ขอสับช้าง ก็ถึงกับดีใจจนออกหน้าออกตา แล้วกล่าวให้ผมฟังว่า
” หัวหน้ารู้มั้ยครับว่า ขอสับช้างเนี้ย ถ้าเป็นของโบราณจริงๆ ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของดีมากๆ ควรเอามาบูชาเลยนะครับ ถ้ารับราชการก็จะได้เป็นใหญ่เป็นโต ได้เป็นเจ้าคนนายคน ถ้าเป็นพ่อค้าทำการค้าการขายก็จะร่ำรวยนะครับหัวหน้า ” ว่าแล้วแกก็เรียกให้ป้าทองเอาขอสับช้างสนิมเขรอะไปเก็บ
….ผมเห็นลุงจุกทำอย่างนี้แล้วก็ได้คิดว่า ถ้าขืนปล่อยให้ทำกันอย่างนี้ต่อไป จะต้องมีปัญหาแน่ ถ้าเกิดเจอของมีค่าเข้า ทุกคนก็จะอ้างสิทธิว่าเป็นของตน อาจมีเรื่องทะเลาะชกต่อยกัน จนเกิดเป็นความไม่สงบขึ้นได้แน่ ผมจึงสั่งให้ลุงจุกและทุกๆ คน ห้ามนำสิ่งของที่ขุดพบได้ ณ ตรงนี้นำไปเป็นของตน หรือนำออกไปโดยเด็ดขาด ถ้าใครพบอะไร ขุดได้อะไรก็ให้นำไปวางเรียงไว้ที่ลานจอดรถหน้าคุ้มฯ เพราะสิ่งของทุกชิ้นในคุ้มฯ นี้เป็นสมบัติของคุ้มเจ้าหลวงฯ ถือเป็นสมบัติของบริษัทฯ และเป็นสมบัติของพ่อเลี้ยง แม่เลี้ยง คนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์
…..ลุงจุกแกก็เดินเข้ามาทำท่ากระแซะๆ ข้างลำตัวผม แล้วแอบกระซิบ..” แหม หัวหน้าครับ อย่างไงเสร็จเรื่องแล้วผมขอ เหล็กขอสับช้างด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะช่วยเป็นหูเป็นตาไม่ให้ใครขโมยของให้นะครับ ได้มั้ยครับหัวหน้า “…ผมได้ยินลุงจุกพูดทำนองว่าเป็นเด็กเส้นใหญ่แล้วก็เลยต้องทำเป็นหูทวนลม จากนั้นก็บอกให้แกและทุกคนกลับไปทำงานต่อ
…..ผมสังเกตเห็นลุงจุกแกจะขึ้นไปเดินวนๆ อยู่รอบปากหลุม แล้วสอดสายตาไปทางนั้นทางนี้ มองในแง่ดี ก็คิดได้ว่าแกคอยเป็นหูเป็นตาให้ คอยดูว่าใครขุดเจออะไรแล้วแอบขโมยหรือเปล่า แต่ถ้ามองในแง่ร้าย แกก็หวังจะได้ของดี ของมีค่าซะเองก็ได้เหมือนกัน
…..ยิ่งขุดไป ก็ยิ่งเจอเศษหม้อดินไหดินที่แตกๆ หักๆ สภาพผุกร่อน แต่เนื้อดูจะแกร่งเหมือนเศษหิน …
ผมกับคนงานก็ตั้งหน้าตั้งตาขุดกันต่อไป แดดก็เริ่มร้อนขึ้นทุกที ผมจึงเลื่อนมาขุดฝั่งตรงที่มีเงาร่มของต้นพุทรา แล้วผมก็เจออะไรบางอย่าง ที่มีลักษณะเป็นเศษวัตถุชิ้นเล็กๆ สีเทาหม่นๆ มีรูพรุนรูปร่างคล้ายปะการัง …
” เอ๊ย ?..ทำไม มีเศษปะการัง “ผมนึกสงสัยในใจ แล้วคนงานหลายคนก็เจอในสิ่งเดียวที่ผมเจอ ในอีกหลายจุด พวกเราก็ยังขุดสำรวจกันต่อไป ….สักพักใหญ่ๆ ผมก็ขุดไปเจอเศษวัตถุเข้าชิ้นหนึ่ง ผมพลิกซ้ายพลิกขวาพิจารณาดูอยู่หลายรอบ จนผมมั่นใจว่ามันคือ……..อะไร!!!!
แค่นั้นล่ะ…แทบจะโยนทิ้งไม่ทันเลยทีเดียว แต่ก็ยังดีที่เรียกสติกลับคืนมาได้ทัน เลยเรียกคนงานชายวัยกลางคน คนที่ผมค่อนข้างสนิท และรู้ว่าเป็นคนไม่โวยวายมาแบบด่วนๆ “หนุ่ยๆ มาดูนี่หน่อยซิ” ผมส่งเสียงเบาๆเรียกคนงาน แล้วยื่นเศษวัตถุชิ้นนั้นให้ดูพร้อมกับถามว่า . .
“หนุ่ยว่าใช่เศษหัวกระโหลกคนตายมั้ย ? “…หนุ่ยเห็นเศษวัตถุชิ้นนั้นเข้าก็ถึงกับผงะ แล้วตอบกลับมาว่า
“แม่นขนาดแล่วหัวหน้า มันจะเป๋นอย่างอื่นไปบ่าได้ นี่มันกระโหลกผีแต้ๆ นะก้า หัวผีตากะโล่ “..พอเราทั้งหมดเริ่มรู้ว่า ไอ้เศษปะการังที่เจอนะ ที่แท้มันคือเศษซากกระดูกคนตาย ที่ผุกร่อนจมอยู่ใต้ดินจนเกือบจะกลายเป็นหิน ทุกคนก็รีบทิ้งเครื่องมือแล้วขึ้นไปยืนอยู่บนปากหลุมกันหมดภายในพริบตา!! เหลือผมคนเดียวที่ยังนั่งจุมปุ๊กอยู่กลางหลุมคนเดียว
….เมื่อรู้กันแล้วว่า ที่ตรงนี้เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่ฝังกลบคนตายเอาไว้ ก็ใช่ว่าผมจะใจกล้านั่งอยู่ในหลุมได้คนเดียว เพียงแต่ผมเองช้ากว่าคนอื่นเค้าเท่านั้น ไม่ทันไรผมเองก็ขึ้นไปยืนรวมกลุ่มกับพวกคนงานที่ปากหลุม แล้วผมรีบไปล้างมือด้วยผงซักฟอกอยู่หลายรอบจนมือแทบเปื่อย เสร็จก็โทรหาคุณโจ้โดยไว ในขณะที่รอคุณโจ้อยู่นั้น ผมก็สั่งให้คนงานนำเอาเศษโซ่ตรวน ขอสับช้าง เ ศษเครื่องใช้ หม้อไห รวมถึงเศษกระดูกคนตายขึ้นมาวางเรียงไว้บนแผ่นผ้าพลาสติกตรงลานจอดรถ ..
….แล้วผมก็เดินเข้าไปถามลุงจุกว่า “ลุงๆ ถ้ายังสนใจขอสับช้างอยู่ ผมจะกระซิบขอคุณโจ้ให้เอามั้ย ? “..ลุงจุกรีบส่ายหัวฮือๆ แล้วบอกกับผมว่า “ไม่เอาไม่เอาแล้ว นึกว่าขุดไปจะเจอหีบสมบัติ หนอย…ดันมาเจอแต่ซากผี ไม่เอาด้วยหรอกครับเดี๋ยวมันมาทวงคืน ”
….สักพักใหญ่คุณโจ้ก็โทรกลับมา บอกให้ผมหยุดการดำเนินงานทุกอย่างก่อน คุณโจ้จะไปแจ้งความที่กองเมือง ( โรงพัก ) เพราะที่เราขุดเจอกันนี่มันไม่ใช่กระดูกหมา แต่มันดันเป็นซากกระดูกคนตาย จึงต้องแจ้งความไว้ก่อน
…ผ่านไปราวสัก 3 วัน เห็นจะได้ตำรวจก็เข้ามาจัดการกับซากกระดูก และวัตถุที่ขุดพบได้จนเป็นที่เรียบร้อย ก็แน่ใจว่าเป็นซากที่มีอายุนานนับร้อยปี ไม่มีเรื่องการฆาตกรรม ก็ให้เราเร่งจัดการนำซากเหล่านี้ไปทำพิธีทางศาสนา
…..ส่วนทางพ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยง ก็มาปรึกษาผม ถึงการนำซากกระดูกเหล่านี้ไปทำพิธีให้ถูกต้องตามหลักศาสนา ว่าควรทำอย่างไรดี ด้านเรื่องที่จะเอาอิฐหักเศษปูนมาถมสนามในคุ้มฯ ก็เป็นอันต้องพับไปก่อน…
….ไม่กี่วันต่อมาพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง คุณโจ้ กับญาติๆ ของเค้า ก็มาล้อมวงคุยกันเกี่ยวกับการเตรียมงานบุญใหญ่อยู่ที่ชั้นล่าง งานฌาปนากิจก็ต้องรบกวนให้ท่านเจ้าคุณฯ ที่วัดเจดีย์หลวงช่วยอนุเคราะห์ ด้านพวกผมกับพนักงานบริษัทฯ ก็กำลังตกลงแบ่งหน้าที่กัน ว่าใครจะดูแลเรื่องอะไรกันอยู่นั้น
…..จู่ๆ ก็มีหญิงสูงอายุกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาในคุ้มฯ แต่งตัวในชุดพื้นเมือง ผู้หญิงสูงวัยกลุ่มนี้มากันห้าคนแต่ละคนมีอายุอยู่ในราว หกสิบปีขึ้นไป เว้นอยู่คนหนึ่งดูจะอายุน้อยลงมา ดูจากหน้าอายุก็คงไม่น่าจะเกิน สามสิบห้าปี… เธอเดินตรงดิ่งเข้ามาหาผม โดยที่สายตาเธอไม่ได้มองไปทางอื่นเลย เธอแนะนำตัวเองว่าเธอชื่อ “หน่อย” แล้วพูดกับผมว่า การที่เธอมากับแม่อุ้ยเหล่านี้ต้องเดินทางมาที่นี่ ก็เพราะต้องการจะมาบอกว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่
….แม่อุ้ยคนที่ใส่ผ้าซิ่นสีดำ พาดผ้าสไบสีแดงยืนอยู่ด้านหลังนั้นเป็น “ร่างทรง” ทุกคนเดินทางมาจาก อำเภอแม่วาง แม่อุ้ยผู้ที่เป็นร่างทรงผู้นี้ ไม่ได้รู้เห็นอะไรด้วยสายตาเหมือนคนธรรมดา แต่แม่อุ้ย สามารถสัมผัสเรื่องราวต่างๆ ได้ด้วยตาทิพย์ แม่อุ้ยรู้ว่าที่นี่กำลังจะมีการปลดปล่อยวิญญาณ แต่ก็จะมาเตือนว่าจะเกิดเรื่องอาถรรพ์ที่กำลังจะติดตามมา …
….คุณโจ้เดินเข้ามากระซิบผมว่า “พ่อเลี้ยงให้ถามว่าพวกเค้าต้องการอะไร ต้องการเงินรึเปล่า เท่าไร”…แต่ไม่ทันที่ผมจะเอ่ยปากถามออกไป แม่อุ้ยคนที่เป็นร่างทรงก็หันควับมองไปที่พ่อเลี้ยง แล้วตะโกนด้วยเสียงที่สั่นเครือ ความว่า “กูไม่ได้ต้องการเงิน แต่กูจะมาเตือนพวกมึง” .. เท่านั้นแหละ พ่อเลี้ยงที่อยู่ในท่านั่งไขว่ห้าง ก็สะดุ้งโหยงสุดตัวเล่นเอาพ่อเลี้ยงเปลี่ยนท่านั่งแทบไม่ทัน หันมาสั่งให้พวกเราเชิญแม่อุ้ยพร้อมคณะนั่งลงบนเสื่อหาน้ำหาท่ามาเลี้ยงดูทันที .. นั่งพักสักครู่คณะแม่อุ้ยก็พากันลุกขึ้นร่ายรำ กันแบบไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก แถมยังร้องเพลงอะไรกันแบบที่ผมและทุกๆ คนในคุ้มฯ ไม่คุ้นหูเลย.. สักพักเดียว คนที่ชื่อหน่อยก็เดินเข้ามาหาผม แล้วก็บอกว่า “ปะเดียวแม่อุ้ยจะเข้าทรง แต่พวกเพิ้ลคงฟังกันบ่าเข้าใจ๋ ปะเดียว ข้าเจ้าจะแปลฮื้ออ้ายฟังเน้อ ”
….แม่อุ้ยร่างทรงก็ร่ายรำ ด้วยท่วงท่าที่อ่อนช้อย ย่อตัวขึ้นลง ดูเหมือนใช่ว่าคนสูงอายุทั่วไปจะรำได้ แล้วแม่อุ้ยแกก็ร้องขึ้นมาเป็นเพลงพื้นเมืองเสียงค่อนข้างดัง สักพักแกก็หยุดร้องหยุดรำ แล้วล้มตัวลงนั่งอย่างแรงทำตาเหลือกแหงนคอมองดูฟ้า แล้วก็พูดภาษาอะไรออกมาโดยที่พวกเราไม่เข้าใจเลยสักคน จากนั้นคนชื่อหน่อยก็เริ่มแปล ..เนื้อหาใจความที่ผมจะเล่า ก็พอจะอธิบายให้เข้าใจได้ดังต่อไปนี้ครับ…
….ร่างทรงชี้นิ้วมาทางผม แล้วบอกว่า…เมื่อชาติก่อนผมเป็นข้าราชการฯ ที่มาทำงานที่คุ้มฯ แห่งนี้แล้วมา บอกว่าจะปล่อยทาสที่อยู่ในคุ้มนี้ให้เป็นอิสระ แต่ทาสเหล่านี้ก็ไม่ได้ต้องการที่จะไปจากคุ้มฯ แห่งนี้ ยินดีที่จะตายอยู่ที่นี่ แต่เจ้า ( หมายถึงผม ) ก็ยังบอกกับทาสเหล่านี้อีกว่า ในเมื่อชาตินี้กูปล่อยพวกมึงแล้ว พวกมึงไม่คิดที่จะไปกัน ชาติหน้ากูก็จะมาปล่อยพวกมึงอีก
…จากนั้นร่างทรงก็ชี้นิ้วมาที่หน้าของผม แล้วยังกล่าวต่อไปอีกว่า .. การที่เจ้า ( หมายถึงผม ) กลับมาปลดวิญญาณทาสเหล่านี้ในชาตินี้ ย่อมทำให้วิญาณทาสเจ้านายฯ ที่อยู่บนเรือนข้างบน ไม่พอใจเป็นอย่างมากพวกเจ้าจะต้องพบกับอาถรรพ์ที่ต้องทำให้พวกเจ้าจดจำไว้จนวันตาย…
…..จากนั้นผมกลายเป็นพระเอกของเรื่องนี้ไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยครับ เชื่อมั้ยว่าขณะที่หูข้างนึงของผมฟังคนชื่อหน่อยแปลอยู่นั้นขนทั้งตัวของผม มันลุกซู่ เ ย็นสันหลังวาบๆ อยู่ตลอดเวลา…. ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้นต่างนิ่งเงียบ ไม่มีใครส่งเสียง หรือพูดคุยกันสักแอะ
…..( ผีที่คุ้มเจ้าหลวงฯ ยังไม่จบ ความอาถรรพ์ที่ว่า จะทำให้เกิดอะไรขึ้น ที่ไหน กับใคร โปรดติดตามตอนต่อไปนะครับ ) Link : ตอนที่ 4 ผีคุ้มเจ้าหลวง, Link : ตอนที่ 6 ผีคุ้มเจ้าหลวง

Leave a Reply