ทุ่มเททุกลมหายใจ…เพื่อ…อะไรกัน

​”เสียเวลาอ่านสักนิดแล้วจะรู้ว่า ชีวิตควรหาความสุข ณ ปัจจุบันไม่ใช่รอและหวังว่าจะมีความสุขในอนาคต และควรจะมีปัญญาพิจารณาว่า อะไรคือความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน”

…….ปัญญาธโร……

นิทานหมากสีแดง

ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายสองคน ลูกชายคนโตชื่อว่า ชาญชัย ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อว่าโชติช่วง
ชาญชัยเป็นพี่ที่มีนิสัยรักสงบและชอบนั่งสมาธิสวดมนต์อยู่เป็นนิจ ส่วนโชติช่วงคนน้องนั้นรักความสนุกสนาน ชอบพบปะผู้คน และนิยมความเจริญก้าวหน้าในชีวิต

เมื่อชาญชัยและโชติช่วงเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม พ่อกับแม่ก็ให้ทั้งสองแยกเรือนออกไปลองใช้ชีวิตด้วยตนเอง ชาญชัยจึงเปิดร้านเล็กๆ ในหมู่บ้าน ขายของกินของใช้ทั่วๆ ไป พอที่จะเลี้ยงตนเองได้ไม่ขัดสน ส่วนโชติช่วงคิดการใหญ่กว่าพี่ชาย เขามองเห็นลู่ทางทำเงินมากมายรออยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขาจึงลงทุนทำการค้าหลายๆ แบบ และทุ่มเทตนเองในการทำงานอย่างหนัก โดยแทบไม่ยอมพักผ่อน ซึ่งกิจการของเขาก็โตวันโตคืนและทำกำไรให้เขาอย่างงดงาม

road-564492_960_720

ชาญชัยแม้จะเห็นน้องชายเจริญก้าวหน้าก็หาได้มีใจริษยาไม่ เขายังคงดำเนินชีวิตของตนเองไปเหมือนดังเช่นทุกวัน คือ ตื่นนอนตอนตีสี่มานั่งสวดมนต์ทำสมาธิ จากนั้นกินข้าวเช้าแล้วออกไปเปิดร้าน เมื่อถึงเวลาเย็นก็ปิดร้านมานั่งอ่านหนังสือธรรมะและคำสอนในศาสนา ก่อนจะเข้านอนก็สวดมนต์ทำสมาธิอีกครั้ง และตื่นอีกครั้งตอนตีสี่ เป็นเช่นนี้ทุกวันไม่เคยเปลี่ยนแปลง จนชาวบ้านพากันซุบซิบนินทาไปทั่ว ดังนั้นในวันหนึ่ง พ่อกับแม่จึงเรียกให้ชาญชัยไปหาที่บ้าน
“พ่อกับแม่มีอะไรจะคุยกับฉันอย่างนั้นหรือ” ชาญชัยเอ่ยถาม
“พ่อกับแม่ไม่สบายใจเรื่องที่ชาวบ้านพูดคุยและว่าร้ายกันเกี่ยวกับลูกน่ะสิ” พ่อบอกด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ชาวบ้านว่าอะไรฉันล่ะ” ชาญชัยถามอีก
“เขาว่าลูกขี้เกียจสันหลังยาวนัก เปิดร้านออกมานั่งเฝ้าอยู่เดี๋ยวเดียวก็ปิดไปนั่งอ่านหนังสือสบายใจอยู่ในบ้านเสียแล้ว” แม่ของชาญชัยบอกลูกชาย

 

“แล้วเขาก็ยังว่าลูกเป็นคนโง่ที่ขี้อวดอีกด้วย เขาว่าลูกมีเงินอยู่นิดหน่อย  แต่ชอบให้เงินแก่ขอทานและคนยากจน เขาว่าลูกอยากให้ใครๆ  มองว่าตนเองเป็นคนมั่งมีจึงทำเช่นนั้น ทั้งที่จริงๆ  แล้วการค้าของลูกได้กำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”  พ่อของชาญชัยว่า “ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะลูก ไยเจ้าไม่เอาอย่างน้อง ลองไปดูสิ  ตอนนี้กิจการของน้องขยายใหญ่โตไปถึงต่างเมืองแล้ว  น้องเอาแต่ทำงานไม่ได้หลับได้นอนเพื่อหาเงินหาทองให้ได้มากๆ…แต่ดูเจ้าสิ  หลายปีผ่านไปแล้วยังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย  แล้วอย่างนี้เมื่อไรเจ้าจะรวยเหมือนน้องสักทีเล่า” แม่ของชาญชัยกล่าวอย่างเป็นห่วง

 

“พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก  แม้ฉันจะไม่ได้ร่ำรวย  แต่มีความสุขมาก  ฉันชอบนั่งสมาธิและสวดมนต์เพราะนั่นทำใจฉันสงบ  และมีสุขภาพแข็งแรงดี  ไม่เจ็บไม่ไข้  ฉันชอบอ่านหนังสือธรรมะเพราะมีประโยชน์  ทำให้ได้ขบคิดถึงความจริงของชีวิต  และนำมาปรับใช้กับตนเองได้  ถึงแม้จะไม่มีเงินมากมาย  แต่ฉันก็ชอบช่วยเหลือคนยาก  เพราะทำแล้วสบายใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น  ชีวิตฉันไม่ต้องการอะไรมาก  เท่าที่เป็นอยู่นี้ก็ทำให้ฉันเกิดความสุขมากพอแล้ว  ฉันไม่ขวนขวายในสิ่งที่ใหญ่โตแต่ทำลายความสุขอันแท้จริงของชีวิตหรอกจ้ะ”

 

หลายปีผ่านไป  โชติช่วงซึ่งกลายเป็นมหาเศรษฐี และได้รับเลือกให้เป็นกำนันดูแลหมู่บ้าน  กำนันโชติช่วงนั้นเห็นชีวิตความเป็นอยู่ของพี่ชายแล้วก็รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นกำลัง  ด้วยความรู้สึกว่าไยมหาเศรษฐีอย่างเขาจึงมีพี่ชายที่แลดูกระจอกงอกง่อยเช่นนี้  ดังนั้นวันหนึ่ง  โชติช่วงจึงให้คนไปตามชาญชัยมาพบ

 

เมื่อชาญชัยมาถึง  โชติช่วงก็พาพี่ชายเดินชมบ้านไม้สักอันใหญ่โตโอ่อ่าของเขาอย่างภาคภูมิใจในฐานะของตน  เมื่อได้ชมบ้านจนทั่วแล้ว  ชาญชัยกับโชติช่วงจึงได้นั่งคุยกัน

 

“บ้านของฉันใหญ่โตหรูหราดีไหมเล่า  ดูสิพี่  นี่คือน้ำพักน้ำแรงของน้องชายพี่ทั้งนั้นล่ะ”
“บ้านจะใหญ่โตหรือไม่  ไม่สำคัญเท่าอยู่แล้วมีความสุขหรือเปล่า”  ชาญชัยพูด
“ต้องมีอยู่แล้ว!  ฉันมีเงินทองมากมายไว้ใช้จ่าย  มีบริวารรายล้อมคอยรับใช้อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น นี่แหละคือความสุขล่ะ  แต่ก็ช่างเถอะฉันไม่ได้เรียกพี่มาพบเพราะเรื่องนี้หรอกนะ  ฉันอยากพูดให้พี่สำนึกได้เสียที  ว่าพี่ก็อายุมากขึ้นทุกๆ  วัน  น่าจะคิดทำอะไรอย่างฉันบ้าง  จะได้มีความเป็นอยู่ที่น่าดูกว่านี้  อยู่ให้สมกับที่เป็นพี่ชายกำนันอย่างไรล่ะ”

 

“ไม่ล่ะ  พี่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ตอนนี้แล้ว  เจ้าก็เช่นกันขวนขวายมากเกินไปสุดท้ายอาจก่อให้เกิดผลร้ายต่อตนเองได้นะ”  ชาญชัยเตือนสติน้อง  แต่นั่นทำให้โชติช่วงโกรธมาก  เขาตบโต๊ะอย่างแรง แล้วหยิบหมากสีแดงที่วางอยู่ในถาดข้างๆ ขว้างใส่หน้าพี่ชาย

 

“พี่เป็นคนโง่  ดังนั้นอย่าได้บังอาจเอาความโง่ของตนเองมาสั่งสอนคนอื่นเลย  หมากสีแดงนั่นฉันมอบให้พี่  ในฐานะที่เป็นคนโง่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา ถ้าวันใดพี่เจอคนโง่กว่าตนเอง  ก็จงมอบหมากสีแดงนี้ให้เขาไปแทนเถอะ”  โชติช่วงตะโกนใส่พี่ชายด้วยอารมณ์มุทะลุดุดัน  แต่ชาญชัยไม่ได้กล่าวว่าอะไรน้องชาย  เขาเก็บหมากสีแดงใส่กระเป๋าเสื้อแล้วจึงกลับบ้าน
สามปีผ่านไป  ชาญชัยได้รับข่าวว่ากำนันโชติช่วงกำลังป่วยหนักด้วยโรคมะเร็งขั้นรุนแรง  มีความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส  และกำลังจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันนี้  ชาญชัยจึงรีบเดินทางไปเยี่ยมน้องชายที่บ้านไม้สักอันใหญ่โตหรูหราของเขา  และเมื่อได้พบกับน้องชาย  ชาญชัยก็พบว่าโชติช่วงผอมซีดเซียวเป็นอย่างมาก

 

“เป็นอย่างไรบ้างโชติช่วง” ชาญชัยถามน้องชาย
“เจ็บปวดทรมานมาก  คิดว่าคงใกล้จะไปเต็มทีแล้ว” โชติช่วงตอบอย่างคนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
“แล้วเจ้าเตรียมการไว้พร้อมหรือยัง  ว่าจะเอาเงินทองติดตัวไปด้วยมากเท่าไร”  ชาญชัยถาม……โชติช่วงได้ฟังคำถามพี่ชายก็งวยงง  แต่ก็ตอบกลับไปว่า
“เมื่อตายแล้วจะเอาไปอย่างไรล่ะพี่  แม้แต่สลึงเดียวก็ไม่มีทางเอาไปได้หรอก”
“แล้วสั่งบริวารให้ไปคอยต้อนรับเจ้าที่นั่นหรือไม่  ลูกเมียเจ้าล่ะ  ให้ตามไปด้วยหรือเปล่า”  ชาญชัยยังคงป้อนคำถามต่อ
“ที่พี่พูดมานั่น…ฉันเอาอะไรไปด้วยไม่ได้เลยสักอย่าง”  โชติช่วงตอบ

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ชาญชัยก็หยิบหมากสีแดงที่โชติช่วงเคยให้  ส่งคืนแก่เขา  โชติช่วงมองหมากสีแดงอยู่ครู่หนึ่งจึงนึกออก
“อะไรกัน  พี่เอาหมากสีแดงมาให้ฉันทำไม”  โชติช่วงร้องอุทานด้วยความตกใจ  ชาญชัยจึงกล่าวแก่น้องชายว่า
“เพราะเจ้าคือผู้ที่โง่เขลากว่าพี่น่ะสิ…ทั้งๆ  ที่เจ้าก็รู้ดีว่า  คนเราเมื่อถึงคราวต้องจากโลกนี้ไป  จะไม่มีทางเอาอะไรไปได้เลยแม้แต่อย่างเดียว  แต่เจ้าก็ยังขวนขวายทำงานหนัก  จนสุขภาพทรุดโทรมและส่งผลถึงชีวิตในวัยนี้  เหล่านี้คือการกระทำที่โง่จริงๆ พี่จึงต้องมอบหมากนี้คืนกลับเจ้าไป

 

เมื่อโชติช่วงได้ฟังดังนั้นก็คิดได้ทันที  เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญของชีวิตว่า  แทนที่จะมุ่งมั่นศึกษาธรรมะเพื่อความสุขอันแท้จริง  เขากลับสูญเสียเวลาไปมากมายกับสิ่งที่หาได้เป็นความสุขอันแท้จริงไม่  และเมื่อตายไปก็เอาสิ่งเหล่านี้ไปไม่ได้เลยสักอย่าง  เสมือนว่า  ที่เหนื่อยมาทั้งชีวิตนั้นเป็นเรื่องที่สูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิง

 

อย่างไรก็ตาม สำหรับโชติช่วง กว่าที่เขาจะได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญในชีวิตบทนี้  ก็เป็นเวลาที่สายเกินไปเสียแล้ว

 

……เธอทั้งหลาย…..

 

อย่าให้ชีวิตของเธอต้องเรียนรู้บทเรียนที่สำคัญของการใช้ชีวิตเมื่อสายไปแล้วดังเช่นโชติช่วงเลย  ยิ่งไปกว่านั้น  ไม่มีใครรู้หรอกว่าชีวิตของคนๆ  หนึ่งนั้น จะยืนยาวสักเท่าไร  วันนี้เธออาจจะยังยิ้ม  เดิน  เล่น หรือหัวเราะกับคนรอบข้างอย่างขบขัน  แต่พรุ่งนี้อาจจะต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่มีใครคาดคิด …ความไม่แน่นอนนี้แหละ  คือความจริงของชีวิตที่เธอต้องระลึกไว้เสมอ
ดังนั้น  จงอย่าเสียเวลาอันมีค่าในชีวิตของเธอไปกับสิ่งที่หาประโยชน์ไม่ได้  แต่จงใช้ชีวิตของเธอให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่าอยู่เสมอ  การสวดมนต์นั่งสมาธิเป็นสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่เธอควรหมั่นฝึกฝนเอาไว้  เพราะสิ่งนี้จะติดไปกับวิญญาณของเธอ  และเป็นเสมือนทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่เธอจะนำไปใช้ในชีวิตหลังความตายได้

 

ส่วนทางโลกนั้นให้ทำที่สอดคล้องเหมาะสม อันเป็นการสมควรแก่วิถีชีวิต ที่เกื้อกูลกันให้ถึงธรรม จะได้ไม่ต้องลังเลสงสัยอีกต่อไปว่า…..เกิดมาครั้งนี้เพื่ออะไร และสิ่งที่ทำไปนั้นเกิดประโยชน์หรือไม่ ยามถึงวันที่จะต้องจากโลกนี้ไป

 

……จบเรื่องหมากสีแดง…..
แหล่งที่มา : จาก ‘แนวทางสู่ความสุข’ โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

Cr: ม.ร.ว. สมลาภ กิติยากร

Leave a Reply

%d bloggers like this: