…ห ญิ ง ส า ว ทั้ ง ส อ ง แ ห ง น ห น้ า ม อ ง ขึ้ น ม า บ น ระ เ บี ย ง…
…ทั้ ง คู่ ต่ า ง พ า กั น ห วี ด ร้ อ ง เ ห มื อ น ค น เ สี ย ส ติ …!!!
…แ ล้ ว ก็ วิ่ ง ห ก ล้ ม ห ก ลุ ก …ย้ อ น ก ลั บไ ป ท า ง เ ดิ ม…
…คืนนั้นผมกับคุณโจ้ ต่างก็นอนนิ่งตัวแข็งทื่อไม่พูดไม่จากัน เปิดไฟนอนยังไม่พอ อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้ามีอะไรเปิดให้หมด
…หูก็คอยเอี้ยฟังว่าจะมีเสียงประหลาดอะไรดังขึ้นอีกรึเปล่า ผ่านไปไม่นาน เหตุการณ์ก็น่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ผมจึงค่อยๆลืมตา แบบค่อย ๆ หรี่เปลือกตาขึ้นช้า ๆ หยีตามองไปรอบตัว และแล้วทันใดนั้นสายตาของผมก็ต้องมองขึ้นไปที่ฝ้าเพดานทันที !!!
… เอี๊ยดอ๊าด เอี๊ยดอ๊าด..เสียงไม้ลั่นดังขึ้นจากโครงฝ้าด้านบน สักพักเดียว!!! เสียงคนวิ่งไล่กันบนพื้นเรือนที่ผมและคุณโจ้ได้ยินเมื่อสักครู่ที่แล้ว มันเปลี่ยนไปวิ่งไล่กันบนฝ้าเพดานดัง … ตึ้ง ตึ้ง ตึ้งตึ้งตึ้ง… !! แทนนนคิดในใจแบบปลอบใจตัวเองว่า เฮ้ยยย….
…อาจจะเสียงแมวไล่จับหนูล่ะน่า แต่คิดอีกที่ก็ไม่น่าจะใช่แน่…ดังขนาดนี้ ถ้าเป็นแมว ตัวมันคงต้องใหญ่กว่าหมาเป็นแน่แท้…!!
…ผมรีบหลับตาปี๋…แล้วคลุมโปงทันที..นาทีนั้น ผมได้แต่ข่มตานอนให้หลับ ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอหลับไปตอนไหน รู้สึกตัวอีกทีแดดก็ส่องเข้ามาทางช่องหน้าต่างซะแล้ว ผมหยิบโทรศัพท์มือถือบนหัวนอนขึ้นมาดูเวลา…ตัวเลขบอกเวลา อีกสิบนาทีเก้าโมง…วันนี้เราตื่นสายเกินไปละ ผมรีบปลุกคุณโจ้ด่วนๆ แล้วเราสองคนก็รีบจัดการล้างหน้าล้างตา…เตรียมตัวเริ่มทำงานทันที
…เราสองคนเดินออกจากห้องนอน ขณะที่ผมกำลังปิดประตูห้องนอนอยู่ คุณโจ้ก็เรียกให้ผมดูที่ช่องเปิดฝ้าเพดาน ที่เป็นที่มาของเสียงเมื่อคืน!!!
….ฝ้าเพดานที่คุ้มฯนี้ ดูจะแปลกตาจากฝ้าเพดานที่เราคุ้นตากัน คงเป็นเพราะสมัยนั้นไม้ในป่ามีมาก ใช้ไม้กันแบบไม่ขี้เหนียวเลย ลักษณะการกรุแผ่นฝ้าที่เรือนนี้ จะใช้แผ่นไม้จริงบางๆ ยึดเข้ากับโครงฝ้าเลย ตรงรอยต่อ ก็จะมีไม้ระแนงตีมอบไว้ เรื่องความแข็งแรงไม่ต้องห่วงเลย อย่าว่าแต่คนสามารถขึ้นไปวิ่งไปเดินได้เลยหากจะขนหีบเหล็กเก็บสมบัติขึ้นไปเก็บไว้ข้างบนสักสิบใบยี่สิบใบ ก็ยังได้เลยครับ
…อีกทั้งช่องเปิดฝ้าเพดาน หรือที่ปัจจุบันเราเรียกว่า ” ช่องเซอร์วิส ” นั้น ก็ดูจะใหญ่โตขนาดเท่ากับบานหน้าต่าง ที่บานเปิด-ปิดก็ใช้บานพับปีกผีเสื้อขนาดใหญ่ เวลาเปิดก็ดันบานขึ้นไปได้จนสุด เรียกว่าสามารถขึ้นลงได้อย่างสบายๆ
…” อาจารย์ อาจารย์ ทำไมช่องฝ้า มันเปิดอยู่ล่ะ ตอนอาจารย์มาวันแรก มันเปิดอยู่อย่างนี้รึป่าวครับ ? ” คุณโจ้ถาม ผมก็ตอบกลับไปว่า ” อาจารย์เองก็ไม่ได้ทันสังเกตนะ ว่าแต่เมื่อคืนคุณโจ้ได้ยินเสียงอะไรบนฝ้ามั้ย ? ”
…คุณโจ้ไม่ยอมตอบอะไร แต่กลับพูดว่า…” ผมว่าเดี๋ยวให้ลุงจุกเอาบันไดขึ้นมา จัดการปิดไอ้เจ้าบานนี้ให้เรียบร้อยดีกว่า ” ผมเลยพูดแหย่กลับไปว่า ” คุณโจ้ กลัวจะมีตัวอะไรขึ้นไปอยู่ข้างบนเหรอ ? “…
…คุณโจ้ ตอบด้วยรอยยิ้มว่า..” ผมกลัวว่าจะมีตัวอะไรไต่ลงมา มากกว่าครับ “… หึหึหึ
…ผ่านไปเดือนกว่าๆ เรื่องผีเรื่องสาง ก็ดูจะห่างหายไป เราไม่หวาด เราไม่กลัว เราไม่คิด มันก็ไม่มีอะไร…
…ที่ผ่านมา คงอาจเป็นเพราะว่า…จิตใจเราทั้งหลายไม่นิ่งพอ มีความฟุ้งมีความหมกมุ่นอยู่กับเรื่องผี มันก็มโนไปเองต่างๆ นาๆ คิดได้แบบนี้ก็สบายใจ
…งานเริ่มเข้าที่ วันๆ เวลาว่างแทบจะไม่มี แต่ก็มีวันนี้แหละ ที่ผมกับคุณโจ้พอจะมีเวลาไปทัศนศึกษากันบ้าง ” อาจารย์ เดี๋ยววันนี้เราไปเที่ยวร้านปู่หมื่นกันนะ “คุณโจ้เอ่ยปากชวนผม ผมก็ถามกลับไปว่า “ร้านอาหารรึ ”
…” ไม่ใช่ร้านอาหารครับ เ ป็นร้านที่ขายเครื่องปั้นดินเผาครับ อยู่ตรงใกล้ๆ กับกาดประตูเชียงใหม่ สินค้าของเค้ามันจะมีเสน่ห์กว่าที่อื่นตรงที่ เค้าสามารถปลูกมอส ปลูกตะไคร่น้ำให้เกาะอยู่บนงานของเค้าได้เลย
.. แถมยังมีเทคนิคสามารถส่งออกได้ โดยที่มอสเหล่านั้นยังไม่เสียหายอีกด้วยนะครับอาจารย์ ” …คุณโจ้อธิบาย
…เราเดินทางไปถึงร้านปู่หมื่นก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆ ผมเดินชมสินค้าในร้านที่จัดวางโชว์อยู่เพลินๆ ไปเรื่อยๆ
จนถึงส่วนท้ายของตัวร้าน บริเวณนี้ทางร้านได้จัดทำเป็นส่วนเวิร์คช็อป แสดงวิธีการปลูกมอส และเพาะเชื้อตะไคร่ลงบนงานดินเผา ให้ลูกค้าและนักท่องเที่ยวได้ชม…
…คุณโจ้บอกให้ผมช่วยลักจำ ดูวิธีที่เค้าปลูกมอสลงบนดินเผา เพื่อที่จะได้นำไปเป็นเทคนิคในการตกแต่ง สปาที่กำลังจะเปิดใหม่แถวแม่แตง ซึ่งส่วนตัวผมเองนั้นก็สงสัยมานานแล้วว่าเค้ามีเทคนิคการปลูกมอสกันอย่างไร
…เค้าก็นำเชื้อมอสมาละลายลงในกระป๋องน้ำใบเล็กๆ ขนาดเท่ากับถังน้ำแข็งตามร้านข้าวต้ม..
…แล้วก็ตีให้เข้ากัน ค่อยๆเติมเชื้อมอสลงไปทีละน้อย จนน้ำในถังมีสีประมาณน้ำใบบัวบก แล้วเค้าก็หยดน้ำยาเร่งรากลงไปนิดนึง จากนั้นก็เอาแปรงทาสีจุ่มน้ำละลายมอส มาทาถูทาถู มายีลงไป เหมือนกับจะอัดให้เชื้อมอสลงไปอยู่ในรูพรุนเล็กๆ ของเครื่องปั้นดินเผานั้น…
…ใบไหนที่เสร็จแล้ว ก็จะนำไปวางเรียงกันเป็นแถว ในโรงเพาะ…ในโรงเพาะก็จะจัดให้เป็นพื้นที่โปร่งโล่งไม่มีหลังคาแสงแดดส่องลงถึง ด้านบนก็ใช้สแลนกรองแสงแดดไว้ ต่ำลงมาก็มีท่อสปริงเกอร์ คอยพ่นน้ำ
เพื่อให้เกิดความชื้นในอากาศเป็นระยะๆ…
…เท่าที่ผมเรียนรู้จากขบวนการที่เค้าทำให้เห็น โดยที่ไม่มีใครฃ่วยอธิบาย ผมก็ว่าผมน่าจะกลับไปทดลองทำดูบ้าง ใช้พื้นที่ทางเดินด้านหลังคุ้มฯ เป็นแปลงสาธิต ก็น่าจะได้เรื่องอยู่
…เนื่องจากด้านหลังของคุ้มกับด้านหลังของวัดเจดีย์หลวงนั้นติดกัน จึงได้ใช้กำแพงวัดเจดีย์หลวง เป็นกำแพงร่วมกันเรื่อยมา กำแพงของวัดที่ว่ามานี้ อายุน่าจะมากกว่าร้อยปี มีลักษณะเป็นกำแพงก่ออิฐถือปูน
แต่ปัจจุบันนี้ มอส ตะไคร่น้ำ เฟริน ขึ้นกันอยู่ให้เพียบ เพราะตรงนั้นมีความร่ม ความชื้น อุณหภูมิและแสงแดดเหมาะสมพอดี จนมองดูราวกับว่ากำแพงนั้นปูด้วยพรมกำมะหยีสีเขียวสวยงาม ผมเลยไม่ต้องไปหาเชื้อมอสที่ไหนให้ไกล ก็ขูดเอาจากกำแพงวัดนี้แหละ เพื่อมาทดลองปลูกมอสบนเครื่องปั้นดินเผา…
…ผมกับคุณโจ้มาทัศนศึกษาอยู่ที่ร้านปู่หมื่นนี่ ก็นานโขอยู่ดูนาฬิกาก็ปาไปห้าโมงเกือบจะครึ่ง ทางร้านเค้าก็จะปิดอยู่แล้วเราก็เลยต้องรีบเดินออกจากร้าน โดยที่ไม่ได้อุดหนุนสินค้าของทางร้านเค้าเลยสักชิ้น
… สักพักเราสองคนก็กลับมาถึงคุ้มฯ
…หกโมงเย็นฟ้าก็มืดแล้ว ผมลงจากรถได้ก็บ้าเห่อไฟแรง รีบเดินจ้ำไปสำรวจมอสที่กำแพงคุ้มฯ และพื้นที่จัดเตรียมการทดลอง
…ผมมองเห็นไฟตรงแนวทางเดินด้านหลังคุ้มฯเปิดสว่างอยู่…ก็รู้ได้ทันทีว่าต้องมีคนอยู่ด้านหลัง
ผมเดินเลาะไปทางด้านข้างของตัวเรือน พอเดินเข้าไปใกล้ถึงหัวมุมด้านหลัง ก็ได้ยินเสียงคนตักน้ำอาบด้วยขัน เสียงดังซู่ๆ โดยปกติผมเองเป็นคนเดินฝีเท้าเบา ผมก็เดินเข้าไปแบบเงียบๆ เห็นลุงจุกแกยืนหันหลังนุ่งผ้าขาวม้าตักน้ำราดตัวอยู่ โดยที่แกไม่ได้ปิดประตูห้องน้ำ แล้วแกก็เอี้ยวตัวหันหน้ามามองผม ทันทีที่แกหันมาเห็นผม แกก็แหกปากร้อง อ๊ากกก !! ..เสียงดังลั่นด้วยความตกใจสุดขีด วินาทีนั้นผมเองก็ตกใจเล่นเอาสะดุ้งเข้าเหมือนกัน
” ผมเองครับ ผมเองครับลุง ขอโทษทีที่ผมมาเงียบๆ “..ผมยกมือขึ้นไหว้ลุงจุกแล้วกล่าวคำขอโทษ
แต่ลุงจุกแกก็ไม่ยอมหยุดแหกปากร้อง แล้วแกก็พุ่งออกจากห้องน้ำวิ่งสวนกระแทกหัวไหล่ผมออกไป
อย่างที่ไม่กลัวผ้าขาวม้าหลุดเลย…ลุงจุกแกคงโดนผีที่นี่หลอกจนเสียขวัญ อะไรนิดอะไรหน่อยแกก็จะหวาดผวาตกใจง่าย ผมเองก็รู้สึกผิดนะ ที่เดินเข้ามาแบบเงียบๆ รู้งี้ตะโกนทักแกซะหน่อย ก่อนที่จะเดินเข้าไปก็น่าจะดีกว่า
…ลุงจุกแกไปนั่งตัวสั่นอยู่ตรงบริเวณที่นอนของแก ป้าทองก็เอาผ้าห่มมาคลุมตัวให้ ทั้งๆ ที่ลุงจุกแกตัวเปียกๆ อย่างนั้น
…คุณโจ้ก็เดินเข้ามาถามด้วยความสงสัย หลังจากที่ผมช่วยเก็บขันเก็บผ้าเช็ดตัว ปิดไฟห้องน้ำแล้ว ผมก็รีบเดินตามแกไป
…” ผมขอโทษนะลุง ที่ทำให้ลุงตกใจ “.. ผมรีบกล่าวขอโทษลุงจุกอีกครั้ง เพราะกลัวลุงแกจะโกรธ…
…ป้าทองแกก็ชงยาลม มาให้ลุงจุกกิน…พอลุงจุกแกได้ซดยาลมไปได้หน่อย แกก็เรียกสติกลับมาได้…แล้วแกก็หันมาพูดกับผมด้วยสุ่มเสียงที่แหบแห้งและสั่นเครือ…” ผมไม่ได้ตกใจที่เห็นหัวหน้าเดินเข้ามาหรอกครับ ผมตกใจผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวหน้าต่างหาก!!! ” …คุณโจ้ก็ถามกลับไปว่า ” ผู้หญิงที่ไหนลุงหัวหน้าเค้าเดินเข้าไปคนเดียวไม่มีใคร ”
…ลุงจุกแกก็เล่าให้พวกเราฟังว่า ไม่ใช่คนแน่ๆ แกเห็นเป็นผู้หญิงหน้าตาโบราณตัวเล็กๆ ยืนคอเอียงๆ เท้าสะเอว ตัวสูงแค่หัวไหล่ของกระผม เส้นผมแห้งๆ ปล่อยฟูยาวท่วมหลัง ในปากคาบยาขี้โย ( ยาสูบแบบของพม่ามวนโตๆ ) ท่อนล่างนุ่งผ้าถุง ท่อนบนเปลือยหน้าอกไม่มีผ้าปิดบัง ถลึงตาจิกจ้องมองมายังลุงจุก
ราวกับว่าลุงจุกทำความผิดร้ายแรงอะไรอย่างนั้น แล้วแกยังเล่าต่อไปอีกว่า…
…ตอนที่ลุงจุกวิ่งสวนออกมา ผู้หญิงคนนั้นยืนตัวติดอยู่กับผม ขวางทางด้านหนึ่งไว้ แกก็ต้องวิ่งเบียดออกมาในทางข้างที่แคบ พอวิ่งผ่านออกมาได้นิดเดียว ผู้หญิงคนนั้นก็ยังเอื้อมมือตามมาจับไหล่ลุงจุกอีก มิน่าล่ะ ตอนที่แกวิ่งออกมา แกถึงได้วิ่งชนกระแทกผมออกไปอย่างแรง
ฟังเรื่องของลุงจุกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อกี้นี้ ผมก็ย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่ผมกำลังเก็บเครื่องอาบน้ำของลุงจุกที่กระจายเกลื่อนกราดในห้องน้ำ ตอนนั้นผมเองก็รู้สึกหวาดๆ เสียวสันหลังอยู่เหมือนกันนะ แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นนึกสนุก มาปรากฎร่างให้ผมเห็นด้วยล่ะก็ มีหวัง…ผมคงต้องช็อคสลบหลับอยู่ตรงนั้นแน่ !!!!!จะว่าไป เราก็ห่างเรื่องผีๆนี้มาก็หลายเดือนแล้วนะ มาเจอกันอีกที ก็เห็นเป็นตัวๆชัดๆกันเลย แต่ก็นับว่าโชคดีที่ผมไม่ได้เห็นเอง
…หลังจากวันที่ลุงจุกแกโดนผีหลอกเข้าไปอย่างเต็มเปา ผ่านมาหลายสัปดาห์ พวกเราก็ไม่ได้เจอผีหลอกกันอีก ไม่มีผีหลอก ชีวิตก็รู้สึกดี๊ดี พวกเราก็ทำงานทำการกันไปตามปกติ
…จนอยู่มาวันหนึ่งผมกับคุณโจ้ก็ไปนั่งกินเหล้ากินเบียร์กันตามประสาหนุ่มโสด นั่งดื่มนั่งกินกันจนร้านปิดนั้นแหละครับ ถึงจะได้ฤกษ์ย้ายก้นกลับไปนอน .. พอเรากลับกันมาถึงคุ้มฯ คุณโจ้แกก็รีบชิงเข้าห้องน้ำก่อนเลย ผมจึงต้องนุ่งผ้าขนหนูยืนคอย ขณะที่ผมคอยคุณโจ้อยู่นั้น ได้ยินเสียงน้ำจากกาน้ำร้อนเดือด ก็ไม่รู้เสียบปลั๊กทิ้งไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมก็เลยเดินไปถอดปลั๊กออก จากนั้นอารมณ์นึกอยากกินกาแฟก็บังเกิดขึ้น ผมจึงได้ชงกาแฟร้อนๆ มาซดแก้เซ็งสักหนึ่งแก้ว แล้วก็แกะหนังสติ๊กที่รัดผมออก ปล่อยเส้นผมใ ห้ฟูฟ่องไปตามเรื่อง แล้วก็ออกไปยืนตากลมหน้าระเบียงด้านนอกทั้งที่นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว มียุงบินเป็นเพื่อนอยู่สักสองสามตัว แก้วกาแฟก็วางไว้ที่ราวระเบียง มือหนึ่งก็คีบบุหรี่ มองออกไปทางถนนราชดำเนิน ( ปัจจุบันเป็นถนนคนเดินในวันสุดสัปดาห์ ) อาศัยแสงสว่างจากหลอดไฟ 40 วัตต์แสงเหลืองอ่อน ที่อยู่เหนือหัวผมเพียงหลอดเดียว ดูเป็นภาพที่แสนจะโรแมนติคซะเหลือเกิน แต่อาจจะในสายตาของผมคนเดียวนะ 555
…ผมก็ทอดสายตามองออกไปที่ถนนหน้าคุ้มฯ จิบกาแฟบ้างสูบบุหรี่บ้างสลับๆ กันไปเพลินๆ รอห้องน้ำว่าง จะได้อาบน้ำนอนสักที
…เหม่อมองอะไรอยู่เพลินๆ ก็เห็นคนสองคนเดินคุยกันมา ตะคุ่มตะคุ่ม เสียงคุยหยอกล้อกันมา ก็เข้าใจได้ว่าเป็นเสียงผู้หญิง …มิ ทั น ไ ร !!!
…หญิงสาวทั้งสองแหงนหน้ามองขึ้นมาบนระเบียง ทั้งคู่ต่างพากันหวีดร้องเสียงดังลั่น เหมือนคนเสียสติ แล้วก็วิ่งหกล้มหกลุก ย้อนกลับไปทางเดิมอาการของหญิงสาวทั้งสองยิ่งพาให้ผมเองรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที นึกในใจ ตายห่าละ มีผีมายืนอยู่ข้างๆเราอีกรึป่าว .. เล่นเอาซะผมแทบส่างเมา
…เผอิญในจังหวะเดียวกันนั้น คุณโจ้ก็เดินออกมาตามผมให้ไปอาบน้ำ ผมจึงได้เล่าเหตุการณ์ที่ผมได้เจอมาเมื่อตะกี๊ให้คุณโจ้ฟัง
…เมื่อคุณโจ้ได้ฟังเรื่องจนจบ คุณโจ้ก็นิ่งอึ้งอยู่สักพัก ผมจึงได้เอ่ยถามคุณโจ้ว่า
…” แล้วเมื่อตะกี๊คุณโจ้ เห็นอะไรแว๊ปๆ อยู่ข้างๆ อาจารย์รึป่าว ? ” …คนโจ้ก็ตอบกลับผมมาว่า..
…” ผมว่านะ ดูจากสภาพแล้ว ผู้หญิงสองคนนั้นเค้าน่าจะตกใจกลัวอาจารย์มากกว่านะ ”
ถ้าเป็นผมเองเดินอยู่ข้างล่างแล้วมองขึ้นมา เห็นอาจารย์ในสภาพนี้ เวลาอย่างนี้ ผมก็วิ่ง …คุณโจ้พูดจบ ก็หัวเราะ …แล้วเราสองคนก็รีบเข้านอนกัน…
…และแล้วการใช้ชีวิตที่ปะปนอยู่กับผีสาง ก็ผ่านไปอีกวัน…ไม่รู้พรุ่งนี้ มะรืนนี้ เราจะพบเจอกับเรื่องอะไรอีก…
————————————————————————————————–
โปรดติดตามตอนต่อไป

…เรื่อง ” ผีที่คุ้มเจ้าหลวงฯ “…ยังไม่จบนะครับ ทั้งคนและผีที่นี่ จะหาทางออกเพื่ออยู่ร่วมกันได้อย่างไร
…ผมเองขอยืนยันว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่นิยายที่ถูกแต่งขึ้นมาเพื่ออ่านเล่นสนุกๆ แต่ทั้งหมดคือประสบการณ์จริงที่ผมได้พบเจอ
…ทั้งสถานที่ ช่วงเวลาที่เกิดเหตุ และบุคคลที่ได้กล่าวถึง ก็ล้วนแล้วแต่มีตัวตนจริงทุกคน เพียงแต่ผู้เล่าได้ใช้นามสมมุติเท่านั้น
Link : ผีคุ้มเจ้าหลวง ตอนที่ 4
( link ตอนที่ผ่านมา ผีคุ้มเจ้าหลวง ตอนที่ 2 )
Leave a Reply