…ข้ า ท า ส ที่ ต า ย ใ น คุ้ ม…
…จ ะ ถู ก ฝั ง ไ ว้ ใ น รั้ ว กํ า แ พ ง คุ้ ม … ทั้ ง โ ซ่ ต ร ว น …
…แ ล้ ว ส ะ ก ด วิ ญ ญ า ณ ไ ว้ ไ ม่ ใ ห้ ไ ป ผุ ด ไ ป เ กิ ด !!!…
จาก ตอนที่ผ่านมา คืนนั้นผมเองแทบจะไม่ได้นอนเลยครับ พอหลับตาลงสักพักจะงีบจะงีบหลับ ก็ต้องผวาตื่น เป็นอย่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะความหวาดขวัญผวา มาสลบลงได้จริงๆก็ตอนช่วงเช้ามืดด้วยความอ่อนเพลีย อย่างถึงที่สุด
…แต่ก็ดันต้องมาตื่นขึ้นด้วยเสียงไก่กาและนกกางเขน นกปรอด ที่ร้องดังเจี๊ยวจ๊าว มาจากทางนอกหน้าต่าง…

…ยามเช้าที่นี่อากาศดีมาก แต่ตัวผมเองยังมีอาการสะโล้สะเล้ เหมือนคนเมาค้างก็ไม่ปาน คงเพราะนอนน้อยเกินไป
…ผมเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ก็มองเห็นหน้าตัวเองในกระจก นึกขำตัวเอง ขอบตาดำๆเขียวๆ เหมือนหมีแพนด้า เสร็จกิจแล้วก็แต่งเนื้อแต่งตัว เก็บที่หลับพับผ้านวม แล้วก็ปิดห้องนอนให้เรียบร้อย
…ก่อนที่จะเดินลงไปข้างล่าง ผมก็อดใจไม่ได้ที่จะมองไปยังอีกด้านหนึ่งของเรือนชั้นบน แต่เนื่องจากขนาดของตัวเรือนค่อนข้างกว้าง หน้าต่างทุกบานยังปิดอยู่ บนเรือนเลยดูมืดๆ มองอะไรก็ไม่ค่อยชัดนัก
…เท่าที่ผมพอมองเห็นในตอนนั้นก็คือ มีห้องนอนอีกประมาณสามห้อง และมีห้องที่ใหญ่ที่สุดอยู่ห้องเดียว ที่ล็อคแม่กุญแจไว้!!!
…เหมือนกับว่าห้องนี้ดูจะสำคัญที่สุด จากนั้นผมก็เดินลงไปข้างล่าง แบบงงๆ
…โดยที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำเลยว่าวันนี้จะเริ่มต้นทำงานอะไรก่อนดี…
…ตรงหน้าทางเดิน ก่อนจะเข้าสู่โถงชั้นล่าง ก็มีโต๊ะตัวเล็กๆ วางอยู่พร้อมกาต้มน้ำร้อนไฟฟ้า กับเครื่องชงกาแฟ ครบชุด แถมยังมีปาท่องโก๋ สามสี่ตัวใส่จานวางไว้
จู่ๆ ป้าทองแกก็กึ่งวิ่งกึ่งเดินหน้าตื่น เข้ามาบอกกับผมว่า ” หัวหน้าคะ เชิญทานได้เลยค่ะ ป้าชงไม่เป็นหรอกนะคะ ไม่รู้ว่าหัวหน้าจะทานแบบไหน ” ไอ้เราก็นึกว่าจะมาบอกอะไรเรื่องเมื่อคืนรึเปล่า…โธ่ !!!
…ผมก็เลยถามถึงปาท่องโก๋ที่วางอยู่ สงสัยว่าใครเป็นคนซื้อ ถ้าว่าแกซื้อมาให้ผม ผมก็ว่าจะให้เงินแกไป
แต่ป้าทองก็บอกว่า คุณโจ้ฝากเงินไว้ให้ดูแลเรื่องน้ำดื่มกับกาแฟ แล้วป้าทองก็ยังพูดต่อไปอีกว่า คุณโจ้แกเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ กับป้ากับลุง แกใช้งานอะไรนิดๆหน่อยๆ แกก็ให้เงินให้ทองไว้ซื้อกับข้าวกับปลา ทั้งๆที่เงินเดือนลุงกับป้าก็มี
…ผมฟังน้ำเสียงและแววตาป้าทอง ในขณะที่แกพูดแล้ว ก็คิดว่าแกไม่น่าใช่คนโง่ๆ คนซื่อๆอย่างที่ผมประเมินไว้ในตอนแรก แถมสำเนียงเหน่อๆของแกนี่ ก็น่าจะคาดเดาได้ว่าเป็นคนที่อยู่แถวๆสุพรรณฯ อยุธยา เทือกๆนั้น
…” ป้ากับลุงเป็นคนที่ไหนครับ ? ” ผมเอ่ยถาม ในลักษณะการสนทนาแบบผูกมิตรไมตรี
…ก็ได้ความว่า ตัวป้าทองเองแกเป็นคนอ่างทอง ส่วนลุงจุกนั้น เป็นคนสิงห์บุรี แกมาเป็นคนงานก่อสร้างของบริษัทในเครือฯ ที่มีสำนักงานอยู่ที่กรุงเทพฯ ทำงานอยู่นานเป็นสิบๆปี เรียกว่าเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงกันมา นานนม พออายุมากเข้า บริษัทฯก็ส่งให้มานั่งๆนอนๆอยู่ที่นี่ สบายๆ แบบไม่ต้องทำงานหนัก
..ยังไม่ทันไร…เสียงแตรรถบีบดังสั้นๆ แบบพอให้ได้ยินที่หน้าประตู ลุงจุกแกกวาดใบไม้อยู่แถวๆนั้น ก็วิ่งไปเป็นประตูใหญ่ เหมือนรู้เวลา รถจี๊ปแกรนด์ เชอโลกี สีเขียวก็วิ่งเข้ามา…อ้อ..คุณโจ้นั้นเอง…
…คุณโจ้ลงมาจากรถ ตรงปรี่เข้าหาโต๊ะกาแฟแล้วก็ชงกาแฟไป คุยกับผมไป..
…” อาจารย์ครับ เดี๋ยววันนี้ผมจะพาอาจารย์ตะเวนสำรวจถนนหนทางในเมืองเชียงใหม่ นะครับ “…ผมฟังแล้วก็รู้สึกดี เออดีเหมือนกันวันนี้ไม่ต้องทำงาน นั่งรถเล่นไปก่อน…แล้วคุณโจ้ก็พูดต่อไปว่า…
…” งานของเรามันมีอยู่หลายจุดอ่ะครับ อาจารย์ก็เลยจำเป็นต้องรู้เส้นทางอ่ะครับ เชียงใหม่เดี๋ยวนี้รถติดมากครับ ถ้าขืนต้องมาหลงทางอีก จะเสียเวลามากครับ “…สักพัก คุณโจ้ก็พาผมนั่งรถ แนะนำเส้นทางต่างๆให้ผมรู้จักประตูหลักๆทั้งสี่ด้านของคูเมือง เริ่มต้นออกวัดพระสิงห์ ผ่านไปแยกห้วยแก้ว ข่วงสิงห์ ประตูช้างเผือก วนไปตรงนั้นตรงนี้ จนผม งง..
…สุดท้ายเราก็มาดูฟาร์มดอกกุหลาบ ที่สันผีเสื้อ ซึ่งเป็นหนึ่งในทรัพย์สินของบริษัทฯ..แล้วก็แวะกินข้าวซอย ที่ร้านฟ้าฮ้ามกัน ในขณะที่เรากำลังทานมื้อกลางวันกันอยู่ ผมก็ถือโอกาสเล่าเรี่องที่ป้าทองแกร้องขอ ให้ผมทำความสะอาดชั้นบนด้วยตัวเอง คุณโจ้แกฟังแล้วก็ยิ้ม ตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มที่มุมปากว่า…” แกคงไปเจอดีอะไรเข้าอ่ะดิ ” ผมคิดในใจ…นั่นไง กุว่าแล้ววว!!!
…บ่ายนิดๆ คุณโจ้ก็ขับรถกลับมาส่งผมที่คุ้มฯ ก่อนที่คุณโจ้จะไปทำธุระที่อื่นต่อ ก็บอกกับผมว่า ตลอดสัปดาห์นี้ คุณโจ้จะพาผมไปรู้จัก หน้างานในสถานที่ต่างๆ ตลอดทั้งสัปดาห์…แต่แล้ว..คุณโจ้ก็ต้องขับรถย้อนกลับมา เดินเข้ามาค้นหาเอกสารในลิ้นชัก พอคุณโจ้ก้าวเท้ายังไม่ทันจะพ้นชายคาคุ้มฯ…
…บานหน้าต่างชั้นบน!!!! ของห้องนอนใหญ่ ที่อยู่ตรงข้ามกับห้องที่ผมนอนเมื่อคืน ก็เหวี่ยงตามแรงลมกระแทกปิด เสียงดัง ปัง !!…สนั่นนนน
…คุณโจ้หันมามองป้าทองและลุงจุก ด้วยใบหน้าที่ดูออกจะเครียดๆ แล้วเดินไปเปิดประตูรถ หยิบลูกกุญแจพวงเบ้อเริ้มออกมา หันมาเรียกผมให้ช่วยไปเป็นเพื่อน ขึ้นไปปิดหน้าต่างที่ห้องชั้นบนกัน…
…” ตอนปิดหน้าต่าง คงไม่ได้ลงกลอนไว้ ” คุณโจ้เปรยขึ้นมา ผมเลยถามต่อว่า ” ใครมาเปิดแล้วลืมปิดลงกลอนเหรอครับ ? ” คุณโจ้ก็ไม่ได้ตอบ แต่กลับก้มหน้าสาละวนกับการหาดอกกุญแจในพวง
…บ่นออกมาด้วยว่า ” แม่ง ดอกไหนว่ะ เยอะไปหมด “…ผมก็เลยแหย่ไปว่า ..” อย่างก๊ะกุญแจคุกเลยนะ “..
…คุณโจ้ ก็หันมามองผม แล้วก็พูดทีเล่นทีจริงกับผมว่า …” มันก็เหมือนคุกอ่ะนะอาจารย์ ขังมันไว้ทั้งคนเป็นทั้งคนตาย ไปไหนกันไม่ได้เลย ชีวิตนี้ ”
…ผมฟังแล้วก็ยิ่ง งง…เลยคิดในใจไปว่า…คงมีเรื่องที่เรายังไม่รู้อีกเยอะแน่ๆ…หุหุ
…พอประตูห้องเปิดออก หลอดไฟในห้องถูกเปิดขึ้น ภาพที่ผมเห็น
..แม่เจ้า !!..นี่มันฉากละครเรื่อง ” ทวิภพ ” รึป่าวเนี้ย..ข้าวของเครื่องใช้มันได้ยุคได้สมัยเดียวกันหมด
มองไป ไม่มีอะไรขัดหูขัดตา ดูกลมกลืนกันเหมือนราวกับว่า ผมได้ย้อนกลับไปในอดีต เมื่อสักร้อยปีที่แล้ว อย่างไงอย่างงั้น ผมมองเห็น เชียนหมากที่จัดวางเอาไว้ กระปุกใส่ปูนแดง มีหมากพลูที่จับไว้เป็นคำๆ พร้อมเคี้ยว แต่ก็ดูแห้งๆไปแล้ว เป็นฝาดูในอับที่ใส่ของ ก็มีกานพลู ยาเส้น ครบทุกอับ เหมือนกับเตรียมให้คนจริงๆใช้…
…ในขณะที่คุณโจ้กำลังลงกลอนหน้าต่างห้องอยู่ ผมก็ถามคุณโจ้ว่า ห้องนี้เป็นห้องของใคร ก็ได้คำตอบว่า ห้องนี้ตามประวัติแล้ว เป็นห้องของเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ตั้งแต่เมืองเชียงใหม่ยังมีเจ้าผู้ครองนครฯ พอได้ตกมาอยู่ในความดูแลของตระกูลนี้แล้ว คนในตระกูลก็จะต้องดูแลห้องนี้ให้ดี ให้เป็นห้องที่พร้อมใช้งาน และให้เหมือนมีคนใช้ชีวิตอยู่เป็นปกติ และพ่อเลี้ยงซึ่งเป็นพี่ชายคนโตของคุณโจ้ กับแม่เลี้ยงภรรยาของเค้า ก็จะเข้ามาทำความสะอาด พร้อมจัดหาดอกไม้ พวงมาลัย หมากพลูมาสับเปลี่ยนทุกสัปดาห์ จึงไม่แปลกเลยที่ห้องนี้ ดูเหมือนว่ายังมีการใช้งานอยู่
…ในขณะที่ผมได้สอดส่ายสายตามองไปรอบๆห้องอยู่นั้นเอง ผมก็ได้กลิ่นเหมือนกลิ่นตัวของคนแก่โชยมา
…ขนแขนผมเริ่มลุกชัน เย็นสันหลังวาปขึ้นมาทันที…ทั้งๆที่ห้องก็ปิดหน้าต่างอยู่ ไม่มีทางที่จะมีกลิ่นอะไรโชยมาตามลมได้ คุณโจ้ คงไม่ได้กลิ่นอย่างที่ผมได้รับรู้อยู่… แต่จู่ๆ ก็…” ออกกันไปเถอะครับ อาจารย์ ” คุณโจ้พูดด้วยอาการลุกลี้ลุกลน เสร็จเรื่อง ลงกลอนหน้าต่างแล้วก็ล็อคห้องไว้อย่างเดิม เราสองคนก็เดินผ่านห้องที่เป็นโถงมุกด้านหน้าของเรือน
…” อาจารย์ เข้ามาดูห้องนี้กันดีกว่า ” คุณโจ้ค้นกุญแจห้อง แล้วก็ไขประตูเข้าไป พอห้องถูกเปิดออก ก็มีกลิ่นเหม็นอับ เหมือนเรือนไม้เก่าทั่วไปที่ถูกปิดตายไว้อยู่เป็นเวลานานๆ คุณโจ้เดินไปเปิดประตูบานใหญ่ ซึ่งเป็นบานที่หันออกไปทางด้านหน้ามองเห็นถนน แต่ว่าทำไมประตูบานนี้ มีความสูงที่สูงมากกว่าประตูปกติ คือโดยทั่วไป ประตูปกติก็จะสูงราวสองเมตร แต่ประตูบานนี้ทำไมมันถึงได้สูงราวสองเมตรครึ่ง อีกทั้งยังแบ่งเป็นสองตอน จะเปิดเฉพาะตอนบนแล้วปิดตอนล่างไว้ก็จะเป็นหน้าต่าง แต่ถ้าเปิดท่อนล่างด้วย ก็กลายเป็นช่องประตู
…แต่ เอ๊..?..ทำไมเปิดประตูออกไปแล้ว ไม่มีระเบียงรองรับคือถ้าเปิดเป็นประตู หากเดินออกไปก็หล่นตุ้บ
…ตกไปตายซี้แหง !!…อยู่กับพื้นข้างล่างแน่..
…แล้วผมก็ได้รับฟังคำอธิบายจากคุณโจ้ว่า…คุ้มฯแห่งนี้ในสมัยที่ยังใช้งานอยู่ ก็ทำหน้าที่เหมือนธนาคาร เหมือนไฟแนนซ์ ที่รับจำนองจำนำ ทั้งที่สวนไร่นา ช้างม้าวัวควาย รวมไปถึง ทาส ด้วย..!!..
…คนที่มาติดต่อ ก็จะขี่ช้างเข้ามาติดต่อทำธุรกรรมกันบนหลังช้างโดยไม่ต้องลง ..แบบ ไดร์ฟ-อินน์ เลยครับ
…นายเงินจะนั่งอยู่ตรงช่องประตูบานนี้ โดยเปิดแต่ประตูตอนบน ใช้เป็นช่องหน้าต่างเพื่อยื่นส่งเงินให้
…ความสูงก็จะพอดีกับคนที่นั่งอยู่บนหลังช้าง แต่ถ้าหากมีการนำตัวคนมาขัดดอกเมื่อไหร่ ประตูตอนล่างก็จะถูกเปิดออก เพื่อให้คนที่จะมาเป็นทาส ได้เดินเข้ามาได้อย่างสะดวก เมื่อถูกตีราคาเสร็จ ก็จะนำลงไปอยู่ชั้นล่างของเรือน และถ้า ทาสคนไหนตายในคุ้ม ก็จะถูกฝังไว้ในรั้วกําแพงคุ้ม แล้วต้องเอาโซ่ตรวนมาล่ามไว้กับศพ แล้วก็สะกดวิญญาณเพื่อไม่ให้ไปผุดไปเกิด ตามความเชื่อในเรื่องชีวิตหลังความตาย
…การที่ทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้วิญญาณทาสเหล่านั้นอยู่รอเพื่อติดตามไปเป็นทาสรับใช้ให้กับเจ้านายฯเดิม ทุกชาติทุกภพตลอดไป ผมได้ฟังแล้วก็รู้สึกหดหู่เศร้าใจมากคุณโจ้ยังพูดด้วยถ้อยคำที่ดูน้อยอกน้อยใจอีกด้วยว่า อย่าว่าแต่ผีทาสในคุ้มฯเลยอาจารย์ ผมเองก็ไม่ต่างอะไร ตั้งแต่มีโครงการฯอะไรต่อมิอะไรของพ่อเลี้ยงขึ้นมาเนี้ย ผมเองก็ไม่เคยได้ทำอะไรในสิ่งที่ผมรักเลย มันก็เหมือนผีทาสที่ถูกขังลืมไว้ที่นี่นั้นแหละ
…จากคำพูดที่ดูเหมือนการพูดประชดประชัน แต่มันก็แฝงนัยยะ ฟังดูเหมือนราวกับว่าคุณโจ้เองก็รู้ว่า
….ผีในคุ้มเจ้าฯนี้ มีอยู่จริง….
…ตอนนี้คุณโจ้ก็ได้เวลาที่จะออกไปทำธุระจริงๆสักที…” อาจารย์มีไรทำก็ทำไปก่อนนะ คืนนี้ผมมานอนเป็นเพื่อนแน่นอนครับ ” พอคุณโจ้ออกไปได้สักพัก ผมก็เดินไปปิดประตูรั้วให้ จากนั้นก็เริ่มงานชิ้นแรก โดยการไปสำรวจดูผนังด้านริมสนาม เพื่อที่จะถอดออก แล้วจัดหาสะหล่าช่างแกะสลัก มาสร้างงานศิลปะในแนวล้านนาตรงบริเวณนั้น ผมเดินอยู่ด้านในของเรือน มองดูขนาด ความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในการสร้างงาน ก็ได้ยินเสียงป้าทองทำกับข้าวอยู่ด้านนอก บ่นอะไรสัพเพเหระกับลุงจุกอยู่ เสียงดังฉี่ๆซู่ๆ ก็ดังขึ้น ซึ่งรู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงของการทอด…แล้วสักพักกลิ่นปลาเค็มก็โชยมา
…ยังนึกในใจว่า ทำไมแกทำกับข้าวเย็นเร็วนักว่ะ..แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร แค่ติดใจในกลิ่นที่รบกวนเท่านั้น
…จากนั้นผมก็เดินเข้าไปดูที่ฝาผนังไม้ใกล้ๆ เพราะเห็นเป็นรอยไม้แตกแยก เป็นร่องกว้างผมก็เลยถือโอกาสนี้ มองลอดช่องรอยแตกนั้นออกไปดูป้าทองแกทำกับข้าวเสร็จรึยัง
…ตายห่า !!!..ข้างนอกไม่มีอะไรเลย มีแต่ความว่างเปล่า
…ในขณะที่ผมเกิดอาการขนหัวลุกอยู่นั้น …ลุงจุกก็เดินจูงจักรยานเข้ามา ป้าทองก็เดินตามหลัง ถือถุงกับข้าวมาเต็มมือ ผมคิดอยู่ในใจ…กลางวันแสกๆ โดนเข้าไปแระ 2 ดอก ..แล้วคืนนี้กูจะรอดมั้ยเนี้ย..!!
…ผมเล่าเรื่องที่ผมเจอเมื่อตะกี๊ให้ลุงจุกฟัง แต่แกก็ทำเป็นไม่นำพา กลับมาบอกกับผมว่า ” ผมถึงต้องไปนอนตรงฝั่งโน้นไง หัวหน้า เคยนอนอยู่ตรงนี้แล้ว บางคืนนอนไม่ได้เลยครับ มีแต่เสียงอะไรก็ไม่รู้ก๊อกแก๊ะๆ ทั้งคืนเลย “…
…เย็นวันนั้นผมก็ไปนั่งกินข้าวเย็นกับคุณโจ้ที่ ร้านครัวสะป๊ะ อย่าว่ากินข้าวเลยครับ คุณโจ้แกก็กินเหล้าของแกไปส่วนผมเองถนัดไปทางเบียร์…เด็กเสริฟก็เข้ามาทักคนโจ้เหมือนกับคุ้นเคยกันดี ..
…” อ้ายผู้นี้เป็นเพื่อนอ้ายก่อ ข้าเจ้าบ่าเคยหัน ” ..คุณโจ้แกมาร้านนี้บ่อย ไอ้ผมเองก็เคยมาเป็นครั้งแรก เด็กมันก็เลยถาม คุยไปคุยมา เด็กมันก็ถามถึงที่พักของเราสองคน คุณโจ้ก็บอกไปว่า พักอยู่ด้วยกันที่คุ้มฯ
…เด็กมันก็เลยย้อนถามกลับด้วยความไม่แน่ใจว่าท” คุ้มได๋ คุ้มเจ้าต๋งกองเมืองปู้นนะก้า…บ้านผีสิง จั๊ดๆ !! เฮาเตียวผ่าน เฮายังบ่ากล้าส่องเลยอ้าย ”
…ผมได้ยินอย่างนี้แล้วก็นึกในใจว่า เด็กเสริฟในร้านอาหารมันยังรู้เลยว่า…คุ้มฯนี้ ผีดุ..
..เผลอแป๊ปๆก็ห้าทุ่มแล้ว เราก็กลับมาถึงคุ้ม เราสองคนต่างก็อาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อย เปิดทีวีดูก็เจอแต่รายการทีวีไดเร็ค ” นอนกันดีกว่าอาจารย์ ผมโคตรง่วงเลย “..คุณโจ้พูดจบ หัวถึงหมอนก็นิ่งไปเลย ผมมีเพื่อนนอนแล้ว
…ดีใจจัง เลยปิดทีวี ปิดไฟนอนเลยดีกว่าคืนนี้…พอกำลังจะหลับ กำลังเคลิ้มๆ
…ก็ได้ยืนเสียงคนวิ่งไล่กันบนเรือน ดังสนั่นหวั่นไหว…ผมผวาลืมตาขึ้น กะจะปลุกคุณโจ้ขึ้นมาถามว่าได้ยินมั้ย
…แต่คุณโจ้ไวกว่าผมอีกนะ…แกชิงพูดขึ้นมาเบาๆก่อนเลยว่า
…” อาจารย์ อาจารย์ ได้ยินใช่มั้ย ? “…ผมก็ตอบรับเบาๆว่า ..” ฮืม “…สักพักผมก็เสนอความคิดว่า
…” เด๋วเราเปิดไฟนอนกันดีกว่านะ แล้วเปิดทีวีทิ้งไว้ มันจะไม่มีภาพไม่มีภาพ จะแต่เสียงฟู่ๆ ก็ช่างมัน
…ผีมันกลัวคลื่นรบกวน มือถงมือถือ เปิดเอาไว้ให้หมดเลย ” …คุณโจ้ก็ไม่ได้ตอบรับอะไร นอนนิ่งๆตัวแข็งทื่อ
…ผมก็ลุกขึ้นไปจัดการซะ…อีกไม่นานก็เช้าแระ ทนๆเอาหน่อย เด๋วคืนนี้ก็ผ่านไป…
…แต่ก็ไม่รู้ว่า คืนนี้และคืนต่อๆไป จะเจออะไรกันอีก…
และมันก็ไม่ได้จบเพียงแค่นั้น
โปรดติดตามตอนต่อไป
…………………………………………….
( link ตอนที่ผ่านมา ผีคุ้มเจ้าหลวง ตอนที่ 1 )
Leave a Reply